SJWD เตรียมประเดิมออกหุ้นกู้ 2 ชุดแรกอายุ 2-3 ปีหลัง “ฟิทช์” ให้เครดิตองค์กร BBB+ (tha)

นายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) เปิดเผยว่า หลังจากที่ บมจ. เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) ได้รวมกิจการกับบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็น บมจ. เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) ทำให้มีศักยภาพธุรกิจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

โดยเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.66 บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศการจัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรที่ BBB+(tha) แนวโน้ม Stable และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่จะเสนอขายครั้งแรกที่ BBB+(tha) เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.66 ซึ่งได้รับการอัพเกรดให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าในอดีตก่อนรวมกิจการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อต้นทุนทางการเงินในอนาคตที่จะลดลงและตอกย้ำพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งของ SJWD

ล่าสุด บริษัทฯ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายตราสารหนี้และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อพิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2566 รวม 2 ชุด โดยนับเป็นการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกของ SJWD ซึ่งจะอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการออกและเสนอหุ้นกู้รวม 15,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจ ตลอดจนนำไปชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

หุ้นกู้ 2 ชุดดังกล่าว เป็นชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันและมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ได้แก่

ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 68 กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้

ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 69 กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้

ราคาที่เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท เพื่อเสนอแก่นักลงทุนทั่วไป นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบัน โดยมีธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ บล.เกียรตินาคินภัทร บล.ดาโอ (ประเทศไทย) บล.เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้สำหรับการเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน และธนาคารทหารไทยธนชาต เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้สำหรับการเสนอขายแก่นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบัน ซึ่งบริษัทจะแจ้งอัตราดอกเบี้ยให้ทราบต่อไป

ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจผ่านแผนงานหลัก 5 ส่วน ได้แก่ ประหยัดต้นทุนและเพิ่มรายได้จากการ Cross-Sale และ Up-Sale จากฐานลูกค้าเดิม, สร้างมูลค่าเพิ่มแก่บริการเดิมที่แต่ละฝ่ายมีความเชี่ยวชาญ, เชื่อมต่อการให้บริการในภูมิภาคอาเซียนแบบไร้รอยต่อ โดยนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยไปขยายในอาเซียน, ให้บริการแบบ D2C (Direct to Consumer) ตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และขยายขอบเขตให้บริการสู่ธุรกิจใหม่

ทั้งนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายปี 66 มีรายได้รวม 30,000 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนกำไรจะมาจากในประเทศ 90% และต่างประเทศอีก 10% โดยเตรียมงบขยายการลงทุนรวม 3,500-5,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายระยะยาวจะมียอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 12% และมีสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30% รวมถึงจะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เป็น 1 แสนล้านบาทภายในปี 70

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ค. 66)

Tags: , ,
Back to Top