การพัฒนาสาขาร้าน 7-ELEVEN ได้ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ผู้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจในด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และผลกระทบต่อชุมชนและสังคมมากขึ้น ทำให้การพัฒนาสาขาของร้าน 7-ELEVEN ที่มีอยู่เกือบ 15,000 สาขาทั่วประเทศเริ่มนำแนวคิด ESG มาใช้ประกอบการวางแผนพัฒนา เพราะ 7-ELEVEN มีจำนวนสาขามาก และใกล้ชิดกับสังคม จำเป็นต้องนำหลัก ESG มาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงสาขาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างสังคมที่ดี และสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและประเทศ
นายวิเชียร จึงวิโรจน์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เล่าที่มาที่ไปว่า การพัฒนาร้าน 7-ELEVEN ในปัจจุบันบริษัทให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้ามาประกอบกับทิศทางผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเรามีร้านมากขึ้น ก็ไปใกล้ชิดสังคมมากขึ้นด้วยงถ้าเราทำดีสังคมก็รักเรา แต่ถ้าเราทำไม่ดีสังคมก็ไม่รักเรา เราก็ขายของไม่ได้ ไม่ว่าเราจะมีของดีขนาดไหน เขาก็ไม่เป็นเกราะคุ้มกันให้ ถ้าเขาซื้อของน้อยลง เราก็อยู่ไม่ได้ เราเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาร้าน 7-ELEVEN ตามหลัก ESG ที่ส่งผ่านมาจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ในเรื่องการร้อยเรียงความดี CP 100 ปี โดยใช้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์ คือ ประเทศชาติ สังคม และองค์กร” นายวิเชียร กล่าว
หลักคิดของการพัฒนาร้าน 7-ELEVEN ที่นำหลัก ESG มาใช้นั้น องค์กรได้พัฒนาผ่านนโยบาย 7 Go Green เป็นหลักที่นำมาปฏิบัติในการพัฒนาสาขาร้าน 7-ELEVEN ในปัจจุบัน ซึ่งจะเห็นว่าทุกสาขาของ 7-ELEVEN จะมีสัญลักษณ์ 7 Go Green ติดอยู่ที่หน้าร้าน เพื่อสะท้อนนโยบายจำเป็นใน 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่
1. Green Store : ร้าน 7-ELEVEN เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านการจัดการพลังงานและอุปกรณ์ต่างๆ
2. Green Logistics : ร้านของ 7-ELEVEN จะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีการขนส่งสินค้ามาที่ร้าน ระหว่างต้นทางถึงปลายทางต้องขนส่งสินค้าด้วยการใช้พลังงานหลากหลายรูปแบบ หรือเป็นพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
3. Green Packaging : สินค้าที่ขายในร้าน 7-ELEVEN โดยเฉพาะ Private Brand ต้องใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือรีไซเคิลนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เป็นไปตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ CPALL พยายามพัฒนาร่วมกับซัพพลายเออร์
4. Green Living : การปลุกจิตสำนึกของประชาชน รวมถึงพนักงานทุกคนในองค์กร และบุคลากรในซัพพลายเชนของ 7-ELEVEN ต้องส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดี และความยั่งยืนให้กับประเทศชาติด้วย
หลักการพัฒนาร้าน 7-ELEVEN ตามแนวคิด ESG ที่ส่งผ่านมายังนโยบาย 7 Go Green นำไปปฏิบัติในการวางแผนออกแบบร้านสาขาดังนี้
1. การวางแผนออกแบบเปลือกอาคาร : ออกแบบที่ตั้งของร้าน 7-ELEVEN ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการเลือกทิศ เพราะทิศดีจะช่วยให้เกิดการประหยัดการใช้พลังงานได้เพิ่มขึ้น เช่น การสร้างร้านในทิศที่ไม่รับแดดโดยตรง เพื่อลดการใช้พลังงาน รวมไปให้ความสำคัญกับการใช้ฉนวนกันความร้อนเป็นเปลือกหุ้มอาคารไม่ให้สูญเสียความเย็น ใช้ม่านบังแดด กระจกกันความร้อน และสิ่งที่สำคัญ คือ การกำหนดความเร็วในการเปิดและปิดของประตูอัตโนมัติไม่ให้นำความร้อนจากข้างนอกเข้ามาใน ทำให้เกิดการประหยัดพลังงาน และรักษาอุณหภูมิในร้านให้เหมาะสม เพราะทุกวันมีผู้เข้ามาใช้บริการเข้า-ออกแต่ละสาขาเฉลี่ยกว่า 2,000 คน
2. อุปกรณ์ : พัฒนาอุปกรณ์ที่มีความทันสมัยตลอดเวลา โดยเฉพาะระบบทำความเย็น ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักที่สำคัญของร้าน 7-ELEVEN ได้แก่ ใช้แอร์ Inverter มีความเงียบ ไม่กระทบในเรื่องเสียงต่อชุมชนโดยรอบ ใช้ตู้เย็นประหยัดพลังงานจากนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะตู้ Open Showcase ที่ 3 ตู้ มีคอยล์ร้อนเพียง 1 ตัว ลดเสียงดังและลดการใช้พลังงานลง 63% ควบคุมความเย็นให้เหมาะสม พร้อมควบคุมความสะอาดและความปลอดภัย, ใช้หลอดไฟฟลูออเรนเซนซ์ ลดจาก 36 วัตต์ เหลือ 12.8 วัตต์ ประหยัดพลังงานลง 63% ซึ่ง 1 สาขาจะใช้หลอดไฟจำนวน 100 หลอด
ขณะเดียวกันยังมีการติดตั้งโซลาร์รูฟท้อปในสาขาของร้าน 7-ELEVEN มากขึ้น ติดตั้งไปแล้วเกือบ 3,000 สาขา สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ 1,800 กิโลวัตต์/ชั่วโมง/สาขา ประกอบกับการนำระบบ IoT มาใช้ มีเซ็นเซอร์ติดตามการทำงานระบบไฟฟ้าของ 7-ELEVEN ทำให้รู้การทำงานและตรวจสอบความผิดปกติของระบบไฟฟ้าในร้านได้ตลอดเวลา
3. พฤติกรรมของคน : การพัฒนาสาขาร้าน 7-ELEVEN ที่จะเดินไปตามแนวคิด ESG และนโยบาย 7 Go Green ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนด้วย โดยที่ CPALL จะให้ความรู้กับพนักงาน และเจ้าของสาขาแฟรนไชส์ ให้รับทราบเกณฑ์ Do and Don’t ซึ่งมีกติกากำหนดในการทำงาน ให้พนักงานมีส่วนร่วมผลักดันแนวคิด ESG และนโยบาย 7 Go Green ทำอย่างนี้แล้วดีอย่างไร ประหยัดพลังงาน และช่วยสิ่งแวดล้อม สังคม และสร้างความยั่งยืนได้อย่างไร ถ้าอะไรที่ทำแล้วไม่ดีก็จะมีการบอกไว้ด้วยเช่นเดียวกัน
นายวิเชียร ยังกล่าวว่า ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปในเรื่องของเทคโนโลยียานยนต์เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลูกค้ามีความต้องการจุดชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ร้าน 7-ELEVEN ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องปรับปรุงเพื่อรองรับความต้องการนี้ ด้วยความสะดวกของการมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ บางสาขาที่มีพื้นที่เพียงพอจัดทำที่จอดรถหน้าร้าน
การติดตั้ง EV Charger เป็นระบบ DC ที่มีกำลังไฟสูงและใช้เวลาชาร์จเร็วกว่าระบบ AC ซึ่ง CPALL ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานการไฟฟ้าพัฒนา EV Charger รวมถึงพันธมิตรที่นำเครื่องชาร์จรถ EV มาติดตั้งให้บริการ และเป็นผู้คิดค่าบริการ ปัจจุบันติดตั้งจุด EV Charger ที่ร้าน 7-ELEVEN ไปแล้วหลักร้อยสาขา จากเป้าหมาย 2,000 สาขา และยังคงทยอยติดตั้งอย่างต่อเนื่อง
“เราประกาศเป็นความมุ่งมั่นในการที่เพิ่มจุด EV Charger ให้กับนักเล่นรถ EV ในอนาคตก็จะเป็นส่วนใหญ่ของผู้ใช้รถในประเทศไทย ตอนนี้จุดบริการที่ร้าน 7-ELEVEN อาจจะยังไม่มาก ตามแผนที่จะทำมี 2,000 สาขา ปัจจุบันระดับร้อยสาขาแล้ว ซึ่งเรามีพันธมิตรเข้ามาร่วมพัฒนาเป็นผู้คิดค่าบริการ” นายวิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ CPALL พร้อมเดินหน้าในการผลักดันด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมถึงหน่วยงานต่างๆในเครือ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2030 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มิ.ย. 66)
Tags: CPALL, SCOOP, ซีพี ออลล์, วิเชียร จึงวิโรจน์, หุ้นไทย