หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์ตามภูมิภาคแม้ราคาน้ำมันดีดขึ้นแต่การเมืองในประเทศยังกดดัน

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ถึงไซด์เวย์ดาวน์ แม้ถ้อยแถลงของธนาคารกลางหลายประเทศในงาน ECB Forum เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตามคาด อีกทั้งราคาน้ำมันดิบดีดขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากการเมืองในประเทศ และความผันผวนจากการ Rollover ในตลาดฟิวเจอร์ส ให้แนวรับ 1,450 จุด และแนวต้าน 1,480 จุด

นายชาญชัย พันทาธนากิจ รองผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ถึงไซด์เวย์ดาวน์ ช่วงแรกอาจปรับขึ้นได้ตามตลาดหุ้นภูมิภาค แม้นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อในงานเสวนาว่าด้วยนโยบายการเงินของธนาคารกลางเวที ECB Forum ที่ผู้ว่าจากธนาคารกลางหลายประเทศเข้าร่วม และภาพรวมยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินเข้มงวด สอดคล้องกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) แต่ปัจจัยนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ และตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว

ประกอบกับ ยังมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบดบังปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นได้ คาด Sentiment ดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานในวันนี้

แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันจากการเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน และยังเผชิญกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติหลังเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมาก รวมถึงวันนี้จะเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายของสัญญา S50M23 และจะมีการ Rollover ไป S50U23 ทำให้ตลาดอาจเกิดความผันผวน

ให้แนวรับไว้ที่ 1,450 จุด และแนวต้าน 1,480 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (28 มิ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,852.66 จุด ลดลง 74.08 จุด หรือ -0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,376.86 จุด ลดลง 1.55 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,591.75 จุด เพิ่มขึ้น 36.08 จุด หรือ +0.27%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 19,180.28 จุด เพิ่มขึ้น 8.23 จุด หรือ +0.04% ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดภาคเช้าที่ระดับ 3,185.42 จุด ลดลง 3.96 จุด หรือ -0.12% และดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 33,306.84 จุด เพิ่มขึ้น 112.85 จุด หรือ +0.34%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 มิ.ย.66) 1,466.93 จุด ลดลง 11.17 จุด (-0.76%) มูลค่าซื้อขาย 48,884.27 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 519.80 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.66

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. (28 มิ.ย.) เพิ่มขึ้น 1.86 ดอลลาร์ หรือ 2.75% ปิดที่ 69.56 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (28 มิ.ย.) อยู่ที่ 3.88 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 35.63 อ่อนค่าต่อเนื่อง กังวลเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย จับตา GDP สหรัฐคืนนี้

– ส.อ.ท.เผยโพลชี้การผลิตเพื่อส่งออกหดตัวสะท้อนคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลง ด้านอีอีซีขยายโอกาสการค้าการลงทุนไทย-จีนผนึกกำลังสร้างความร่วมมือของเขตเศรษฐกิจ พิเศษสองประเทศ

– 7 สมาคมใหญ่ท่องเที่ยวฟื้นชีพ “สมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย” (FETTA) หลังหย่าขาด ลาออกจาก สทท. ดันภารกิจพลิกโฉมท่องเที่ยวไทย เน้นความคล่องตัว ฉับไว พร้อมจี้ตั้งรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด ลุยเสนอข้อเรียกร้องอุ้มผู้ประกอบการ

– ก้าวไกลนัดเพื่อไทยเคลียร์ประธานสภาอีกรอบเช้าวันอาทิตย์ที่ 2 ก.ค.เสร็จแล้วถก 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลต่อทันที สะพัดเพื่อไทยเปิดสูตรใหม่ขอนั่งประธานสภาแลกเก้าอี้ รมต.ขู่ฟรีโหวตถ้าไม่ยอม ‘ชลน่าน-เศรษฐา’ เชื่อไม่แตกขั้ว ‘อิ๊ง’ ให้กำลังใจสองพรรคสู้ๆ ‘อดิศร’ ฉะก้าวไกลไร้มารยาทลักไก่รีบเสนอชื่อแคนดิเดต ด้าน ‘หมออ๋อง-ปดิพัทธ์’ พร้อมเป็น ปธ.สภา มั่นใจทำหน้าที่ได้หากทุกคนเคารพกติกา ‘ส.ว.เสรี’ หอบหลักฐานถก กกต.เร่งสอบปมหุ้นไอทีวี ส่วน ‘กิตติศักดิ์’ ฟันธง ‘พิธา’ ชวดนายกฯ เย้ย ส.ว.หนุนไม่เกิน 5 คน

 

หุ้นเด่นวันนี้

 

– PJW (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.40 บาท โมเมนตัมกำไรไตรมาส 2/66 คาดว่ายังเร่งตัวต่อเนื่องและได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นและจีนเปิดประเทศ รายได้คาดยังโตต่อเนื่องและต้นทุนที่ปรับลงตามราคา Commodity หนุน Gross Margin ดีขึ้น คาดกำไรสุทธิปี 66 ฟื้นตัวแรงเป็น 159 ล้านบาท +91% y-y จากปัญหาจีน Lockdown และต้นทุนแพงปีก่อนที่ผ่อนคลายลง แนวรับ 4-3.90 บาท แนวต้าน 4.20-4.30 และ 4.60 บาท

– IVL (ยูโอบีฯ) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 37 บาท แม้มีการปรับลดประมาณการณ์กำไรลงค่อนข้างมาก ยังคงแนะนำ ซื้อ โดยมีมมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในระยะยาว และเชื่อว่าราคาได้สะท้อนข่าวร้ายไปหมดแล้ว

– BBL (พาย) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 190.00 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท (450% YOY, 3% Q๐0) แม้รายได้ค่าธรรมเนียมจะเบาบางและคาดถึงกำไรสุทธิจากมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน (FVTPL) ที่น้อยลงเพราะตลาดทุนที่ผันผวน แต่คาดว่ากำไรสุทธิจะดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จาก 1. NII ที่โตขึ้นเพราะ NIM ที่ยยายตัว และ 2.การตั้งสำรองหนี้ที่ลดลง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 มิ.ย. 66)

Tags: , ,
Back to Top