เสียหายกันไปไม่น้อยดัชนีหุ้นไทย (SET) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (19-23 มิ.ย.66) ร่วงลงไปถึง 53.87 จุด จนหลุดระดับ 1,500 จุด แต่ช่วงท้ายวันศุกร์รีบาวด์ขึ้นมาปิดที่ 1,505.52 จุดได้ และวันนี้(26 มิ.ย.) SET ยังดิ่งลงต่อกว่า 20 จุด ปัจจัยหลัก คือ กรณีที่เกิดขึ้นกับหุ้น บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) ยิ่งเปิดข้อมูลยิ่งเห็นแผล จากที่เคยอยู่ใน SET100 เป็นหุ้นดาวรุ่งที่ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ เพราะมองว่าเป็นธุรกิจมีอนาคตไกล สถานะการเงินแข็งแกร่ง ใครจะไปคิดว่า STARK ที่เคยรู้จักกลับตาลปัตรกลายเป็นหุ้นไร้อนาคต หนี้สินล้นพ้นตัว หุ้นกู้ก็ถูก Call Default เกือบหมื่นล้านบาท ที่สำคัญ คือ พบการทุจริตภายในจากการสร้างยอดขายและรายจ่ายปลอมหลักหมื่นล้านบาท จนล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับเรื่องไว้ดำเนินคดีแล้ว
ต้องบอกว่า STARK กลายเป็นชนวนเหตุให้นักลงทุนขวัญหนีดีฝ่อ ขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นและหุ้นกู้ ทำให้หลายบริษัทใหญ่ที่เคยเป็นหุ้นดาวรุ่ง มีแรงซื้อเก็งกำไรสูงก่อนหน้านี้ โดนเทขายออกมาต่อเนื่องจากความกังวลว่าจะเดินตามรอย STARK หรือไม่?
ราคาหุ้น STARK จากที่เคยขึ้นไปสูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ 5.10 บาท หล่นไปต่ำสุดที่ 0.01 บาท (21 มิ.ย.)และมาปิดที่ 0.03 บาท เมื่อวันศุกร์ที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา
แหล่งข่าวในวงการโบรกเกอร์ เล่าว่า กรณีหุ้น STARK ทำให้ตลาดเกิดความกังวลส่งผลให้ Senitment ภาพรวมแย่ลงไป นักลงทุนไม่กล้าเล่นหุ้นเก็งกำไร และเลือกขายลดความเสี่ยงออกมา โดยเฉพาะบริษัทที่มีลักษณะโครงสร้างเป็นเครือข่ายบริษัทลูกจำนวนมาก อย่างกรณีของบริษัทใหญ่ในกลุ่มโทรคมนาคมราคาหุ้นปรับลงไปมาก หุ้นในกลุ่มก็อยู่ทั้งใน SET50 และ SET100 ซึ่งบริษัทแม่การลงทุนกระจายไปยังบริษัทลูกค่อนข้างมาก
หรืออย่างบริษัทเครือข่ายใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีและการเงินเป็นอีกหนึ่งที่ถูกหางเลขความกังวลจากเคส STARK เพราะจากที่ดูข้อมูลจะเห็นว่าตัวบริษัทแม่เองมีกำไรไม่มาก แต่กำไรส่วนใหญ่มาจากบริษัทลูก ที่สำคัญคือเป็นกำไรทางบัญชี
แหล่งข่าว กล่าวว่า หุ้นเก็งกำไรมักจะมาพร้อมกับการสร้างสตอรี่ ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ ตามสตอรี่ กำไรที่เห็นก็ไม่รู้ว่ามีการตกแต่งบัญชีหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนระเบิดเวลา เพราะไม่รู้ว่าวันไหนจะโชว์แผลให้เห็น
อย่างเช่นหุ้นใหญ่ตัวหนึ่ง จุดเริ่มต้นของปัญหามาจากผู้บริหารเล่นมาร์จิ้นหุ้นตัวเอง แต่เมื่อราคาหุ้นลงมามากก็โดนฟอร์ซเซล พร้อมๆ กับตัวบริษัทลูกที่ขาดทุนและมีปัญหาหนี้ NPL พุ่งขณะที่ยอดขายหดตัว สร้างแรงกดดันให้กับหุ้นแม่ แม้ว่าจะยังมีบริษัทลูกตัวอื่นที่มีอนาคตดีแต่ก็ถูกถล่มขายเพราะกลัวถูกเหมายกเข่ง
นอกจากนี้ก็ยังยกเคสอีก บจ.ราคาหุ้นร่วงลงมาต่อเนื่องจนตอนนี้ใกล้เคียง Book Value แม้ว่าขณะนี้จะไม่มีปัญหาภายในแล้ว แต่ก็ยังถูกจับตาว่าจะผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ แต่อย่างน้อยปัจจุบันก็กำเงินสดจากการที่ผู้ถือหุ้นแปลงสิทธิวอร์แรนต์เชื่อว่าน่าจะพอเพียงในการคืนหนี้
“เท่าที่ดู ตลาดหุ้นบ้านเรามีเรื่องการเก็งกำไรหุ้นแปลกๆ หุ้นทรงที่มี Story พอมาเจออย่าง STARK รายย่อยเจ็บเสียหายไป 3-4 หมื่นล้านบาท ยังไม่นับรวมสถาบัน ก็เป็นบทเรียนยิ่งใหญ่ ไม่ลืม แผลสดๆ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการเอาผิดผู้บริหาร” แหล่งข่าว กล่าว
ขณะที่โบรกเกอร์อีกราย ชี้ให้เห็นว่าจากกรณีหุ้น STARK ที่เกิดการรั่วไหลไปที่บริษัทลูก มีการสร้างยอดขายเทียม ทำให้นักลงทุนหนีห่างหุ้นกลุ่มที่มีโครงสร้างบริษัทย่อยมากๆ หรือเป็นบริษัทโฮลดิ้ง เพราะมีความกังวลบริษัทโฮลดิ้งจะรับผลกระทบ เมื่อบริษัทลูกมีปัญหาก็มีโอกาสที่ บ.แม่จะมีปัญหาไปด้วย ดังนั้นจึงสะท้อนไปที่ราคาหุ้น โดยเฉพาะบริษัทที่มีโครงสร้างซับซ้อนในหลายบริษัทลูก ก็ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินมูลค่าหุ้นได้ยาก และหุ้นก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่ จึงไม่คุ้มเสี่ยง
หรือบางกลุ่มแม่บริษัทลูกไม่ได้ทำธุรกิจกระจุกตัวในธุรกิจเดียวกันเหมือน STARK แต่ก็ยังมีความกังวลว่าหากธุรกิจของ บ.ลูกรายใดมีปัญหาก็จะถ่วง Value ของแม่ไปด้วย ทำให้นักลงทุนสถาบันที่เคยถือก็ลดสัดส่วนการถือลงไป เมื่อไม่มีนักลงทุนสถาบันราคาหุ้นก็ผันผวนตามการลงทุนของรายย่อย ซึ่งเป็นที่มาของความปั่นป่วนในตลาดขณะนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มิ.ย. 66)
Tags: SCOOP, SET, STARK, ZoomIn, ตลาดหุ้น, สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น, หุ้นไทย