BLC รูดกว่า 7% หลังเปิดเทรดวันแรกเท่าราคา IPO ที่ 10.50 บาท

BLC ราคาร่วงลงกว่า 7.14% มาที่ 9.75 บาท หลังจากเปิดเทรดวันแรกที่ 10.50 บาทเท่ากับราคา IPO

บล.ฟินันเซีย ไซรัส (ผู้ร่วมจัดจำหน่ายฯ) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 12 บาท โดย บมจ.บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (BLC) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี จำหน่ายผ่านร้านขายยาและโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน คิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 85% จุดเด่น คือ การขยายธุรกิจไปสู่ยาสามัญใหม่และการเตรียม R&D ไว้ล่วงหน้าแล้ว คาดกำไรเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 3 ปี +26% CAGR หนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและพฤติกรรมคนที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งมี Margin สูง

ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ ประเมินมูลค่าหุ้น BLC ได้ราคาเหมาะสมปี 66 ที่ 16.00 บาท ด้วยวิธี DCF อิง WACC ที่ 8.3% เทียบเท่า P/E ที่ 52X ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย P/E (-0.25SD) หุ้นในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเภสัชกรรม ทั้งนี้เราได้ทำ sensitivity analysis สำหรับ P/E เฉลี่ยที่ -0.5 SD. ถึง +0.5 SD

ความน่าสนใจในการลงทุน BLC

1. เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญและสามัญใหม่ ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ยาสำหรับสัตว์ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีความต้องการในตลาดสูง และมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ความต้องกาของลูกค้า

2. เพิ่มยาสามัญใหม่ (New Generic Drugs) อย่างน้อยปีละ 2 ชนิด เพื่อเพิ่มฐานรายได้และเพิ่ม Gross Margin

3. กระจายฐานลูกค้าหลากหลาย ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ (B2B) ได้แก่ลูกค้าร้านขายยา โรงพยาบาลรัฐและเอกชน บริษัทเอกชน ร้านค้าปลีก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง (B2C)

4. การเพิ่มกำลังการผลิต 193% จากกำลังการผลิตทั้งหมดในปี 65 เพื่อผลิตสินค้ากลุ่มยาสามัญใหม่

5. Cash Cycle Day ปรับตัวลดลงจากการเพิ่มพันธมิตรที่ช่วยจัดเก็บยอดขาย

6. ปรับนโนบายการรับคืนสินค้าจากเดิมรับคืนทุกกรณี เป็นการรับคืนสินค้าเฉพาะสินค้าที่ขายไปแล้วไม่เกิน 2 ปีปฏิทิน

ประเมินแนวโน้มผลประกอบการในปี 66 กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 184 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิร้อยละ 41.5 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการเพิ่มผลิตภัณฑ์ยาสามัญใหม่ (New Generic Drugs) 2 ชนิดและสินค้า Probiotics ที่เริ่มวางขายใหม่ และคาดปี 67 กำไรสุทธิ 205 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ 11.4% จากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ยาสามัญใหม่อย่างต่อเนื่องอย่างต่ำปีละ 2 ชนิด และมี Net Profit Margin สูงขึ้น จากการลดค่าใช้จ่ายทางการตลาด และการ่วมมือกับพันธมิตรที่ช่วยเพิ่มยอดขายในกลุ่มโรงพยาบาลและลด Cash Cycle Days

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 มิ.ย. 66)

Tags: , , ,
Back to Top