สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) เผยแพร่รายงานประจำปีในวันนี้ (12 มิ.ย.) ระบุว่า จีนเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์อีก 60 ลูก เข้าในคลังสรรพาวุธ ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนม.ค. 2566 รวมเป็น 410 ลูก พร้อมเสริมว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวนับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีที่มากที่สุดบรรดากลุ่ม 9 ประเทศติดอาวุธนิวเคลียร์
รายงานของ SIPRI กล่าวว่า 5 ชาติมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐ, รัสเซีย, จีน, ฝรั่งเศส และอังกฤษ รวมถึงอินเดีย, ปากีสถาน, เกาหลีเหนือ และอิสราเอล มีจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ในครอบครองเพิ่มขึ้น 86 ลูก เป็น 9,576 ลูก ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เนื่องจากมีการปรับปรุงคลังสรรพาวุธให้ทันสมัย
จากจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ 9,576 ลูกนั้น สหรัฐถือครองอยู่ 3,708 ลูก ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า และรัสเซียเพิ่มจำนวนเป็น 4,489 ลูก จาก 4,477 ลูก โดยคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสองมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ คิดเป็น 86% ของจำนวนทั้งหมดทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม SIPRI ประเมินว่าจำนวนหัวรบนิวเคลียร์โดยรวมของ 9 ประเทศลดลงจาก 12,710 ลูก เหลือ 12,512 ลูก
นายฮันส์ คริสเตนเซน ผู้ช่วยวิจัยอาวุโสของ SIPRI ระบุในรายงานว่า การขยายคลังอาวุธนิวเคลียร์ของจีนอย่างมีนัยสำคัญนั้น กลายเป็นเรื่องสวนทางกับเป้าหมายที่จีนประกาศไว้ว่าจะมีจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ขั้นต่ำเท่าที่จำเป็นต่อการรักษาความมั่นคงของชาติ
คลังสรรพาวุธของจีนคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และจีนอาจจะมีจำนวนขีปนาวุธข้ามทวีปอย่างน้อยเทียบเท่ากับสหรัฐหรือรัสเซียภายในช่วงสิ้นสุดทศวรรษนี้
จีนยังคงรักษานโยบาย “ไม่ยิงอาวุธนิวเคลียร์ก่อน” หรือ “no first use” ซึ่งหมายความว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมเตือนว่าจีนอาจละทิ้งนโยบายนี้ทันทีที่ปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยแล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มิ.ย. 66)
Tags: จีน, นิวเคลียร์, หัวรบนิวเคลียร์, อาวุธนิวเคลียร์, ฮันส์ คริสเตนเซน