สายการบินใหม่ 4 รายเตรียมรุกตลาดการบินของไทย รับอุปสงค์ท่องเที่ยวเฟื่องฟู

สำนักข่าวนิเกกอิเอเชียรายงานในวันนี้ (7 มิ.ย.) ว่า สายการบินใหม่อย่างน้อย 4 ราย เตรียมตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมการบินของไทย โดยคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวที่เฟื่องฟู นับตั้งแต่มีการยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด-19

การเปิดตัวของสายการบินเหล่านี้ คาดว่าจะเป็นการกระตุ้นการแข่งขันในตลาดการบินของไทย เพิ่มความท้าทายให้กับสายการบินรายอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม ที่ต้องเผชิญกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนการดำเนินงานอื่น ๆ

  • สายการบินเรียลลีคูลแอร์ไลน์ (Really Cool Airlines) คาดว่าจะเป็นสายการบินแรกที่เริ่มดำเนินการ โดยจะเริ่มให้บริการในเดือนธ.ค. ด้วยเครื่องบินแอร์บัส A330 และแอร์บัส A350 ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขอใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ

นายพาที สารสิน อดีตซีอีโอของนกแอร์ (Nokair) ถือหุ้น 51% ของสายการบินเรียลลีคูลแอร์ไลน์ โดยนายพาทีก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอนกแอร์ในปี 2560 หลังจากบริหารสายการบินมาราว 14 ปี เนื่องจากแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นของสายการบินต้นทุนต่ำที่ต้องพี่งพาเม็ดเงินจำนวนมาก

  • สายการบินแลนดาร์ช แอร์ไลน์ (Landarch Airines) คาดว่าจะเริ่มให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2567 ด้วยเครื่องบิน 12 ที่นั่ง โดยกำหนดเป้าหมายผู้โดยสารที่บินระหว่างเมืองใหญ่ และเมืองชายหาดทางภาคใต้

  • สายการบินพี 80 แอร์ (P80 Air) ซึ่งโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (Thoresen Thai Agencies) บริษัทชั้นนำด้านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีกลุ่มธุรกิจการขนส่งทางเรือ เป็นผู้ถือหุ้น 99% มีแผนการเปิดตัวด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 โดยเน้นจุดหมายปลายทางไปยังหลายเมืองในจีน

  • สายการบินสยาม ซีเพลน (Siam Seaplane) มีแผนให้บริการเครื่องบิน 8 ที่นั่งในเส้นทางที่เป็นเมืองชายหาดที่มีชื่อเสียง เช่น หัวหิน พัทยา และเกาะต่าง ๆ ทางภาคใต้ของไทย

“ปีนี้จะเป็นช่วงเวลาทองของการฟื้นตัวในธุรกิจการบิน หลังจากได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา” นักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยกรุงศรีกล่าว พร้อมเสริมว่าประมาณ 93% ของอุปสงค์ด้านการเดินทางทางอากาศนั้นมาจากการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ก่อนช่วงการแพร่รระบาดของโรคโควิด-19 ไทยมีนักท่องเที่ยวและนักเดินทางเพื่อทำธุรกิจเดินทางเข้าประเทศมากกว่า 80 ล้านคนในปี 2562 แต่ลดลงเหลือเพียง 20 ล้านคนในปี 2564 เนื่องจากข้อจำกัดด้านการเดินทางทางอากาศทั่วโลก

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 มิ.ย. 66)

Tags: ,
Back to Top