ASPHERE ผนึก BIG BANG THEORY เปิดแพลตฟอร์ม Metaverse พร้อมใช้รายแรกของโลก

นายกิตติพงศ์ พฤกษอรุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Blockchain & Innovation Technologies บมจ. แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ (ASPHERE) เปิดเผยว่าบริษัทได้ลงทุนกับบริษัท Big Bang Theory ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่นำ Metaverse มาให้บริการในรูปแบบ Metaverse As-a-service รายแรกของโลก โดยได้ลงทุนคิดเป็นสัดส่วน 27% ของหุ้นในบริษัท ใช้งบประมาณในการพัฒนาโปรเจคประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่า Big Bang Theory จะทำรายได้ตามเป้ามากกว่า 50 ล้านบาทในปีนี้ และมีอัตราเติบโตของรายได้มากกว่า 100% ต่อปี อีกทั้งทำให้รายได้ของ AS เติบโตได้ 10-15% ตามเป้า

ด้านเทคโนโลยี Metaverse เข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวัน ประมาณมูลค่าการเติบโตของตลาดจากปี 64 มีมูลค่าอยู่ที่ 58,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะเพิ่มเป็น 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 73 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 43.7% อย่างไรก็ตามบริษัทมอง Metaverse จะเป็นเครื่องมือทางการตลาดในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งในอนาคตอาจเข้ามาแทนที่เว็บไซด์ และแบรนด์ต่าง ๆ จำเป็นต้องสร้างประสบการณ์แบบ immersive experiences ให้แก่ผู้บริโภคโดยสร้างการเชื่อมโยงระหว่างโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

ในความร่วมมือระหว่างบริษัท Big Bang Theory จะเป็นผู้พัฒนาระบบ Metaverse รวมถึงสร้างเหรียญ Token และ NFT สำหรับใช้ทำ CRM ให้ภายในเครือของAS อย่างไรก็ตามในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะช่วยนำแพลตฟอร์ม Big Bang Theory ขยายตลาดออกสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจากความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกจะสามารถเติบโตในตลาดต่างประเทศได้ไม่ยาก

นายพงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บิ๊กส์แบง ทิออรี่ย์ ระบุว่าบริษัทให้บริการแพลตฟอร์มเมตาเวิร์ส โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเป็นระบบที่ช่วยสร้างโลกเสมือนให้กับธุรกิจทุกประเภท สามารถนำมาใช้ในเรื่องของการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตลอดจนการเปลี่ยนธุรกิจแบบเดิมเข้าสู่โลกเสมือนราวกับจินตนาการ ซึ่งเครื่องมือที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Big Bang Theory มีหลายส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะผลักดันโลก Metaverse ให้เป็นโลกเสมือนจริง โดยเผยแผนในปีนี้จะมีการขยายแพลตฟอร์มครอบคลุมการให้บริการระบบธุรกิจโลกเสมือนแบบครบวงจร โดยที่ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม ยิ่งไปกว่านั้นสามารถเข้าถึงได้ในงบประมาณที่ประหยัดย่อมเยา

โดยฟังก์ชันของ Big Bang ได้แก่

– การทำ Steaming สามารถนำไปใช้ในแง่ของการจัดทำสัมมนา ฉายภาพยนตร์ ไลฟ์สด และ อื่นๆ ซึ่งการใช้ ฟังก์ชันนี้จะให้ประสบการณ์ เหมือนผู้เข้าร่วมงานได้เข้าไปอยู่ในสถานที่การจัดงานจริง

– E-Commerce online shop การขายสินค้าออนไลน์ในรูปแบบของโลกเสมือนจริง การเลือกสินค้า ชำระเงิน และ สามารถรอการจัดส่งได้ที่บ้าน โดยการชำระเงินจะรองรับระบบคิวอาร์โค้ดพร้อมเพย์ และบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต โดยบริษัทอยู่ในช่วงการเจรจาความร่วมมือกับบริษัท E-Commerce รายใหญ่ระดับโลก ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดในอนาคต

– Private Meeting room เป็นฟังก์ชันการประชุมบนโลกเสมือนที่มีมุมมองเหมือนกับผู้ประชุมเข้าไปอยู่ในห้องนั้นจริง และมีฟังก์ชันย่อยในห้องประชุมที่ไม่แตกต่างกับการประชุมงานในปัจจุบัน

– Mini Game เป็นฟังก์ชันที่ให้ความบันเทิงกับผู้เข้าร่วมเมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นเกมที่ง่ายและคุ้นเคยกับผู้ใช้ ซึ่งส่วนนี้อาจจะเป็นฟังก์ชันหนึ่ง ที่ดึงดูดใจให้คนเข้ามาในเมตาเวิร์สของผู้สร้างได้

– Hologram ฟังก์ชันใหม่สุดล้ำที่จะสร้างโลกแห่งจินตนาการให้เป็นจริงสามารถใช้ในมุมมองของการประชุมประจำปีแฟนมิตติ้ง ปราศรัยทางการเมือง โดยลักษณะเด่นของฟังก์ชันนี้คือการฉายภาพเสมือนของผู้พูด หรือวิทยากรในลักษณะเรียลไทม์ ซึ่งข้อดีจะทำให้ผู้ที่เข้ารับฟังและรับชมใกล้ชิดกับผู้พูด หรือวิทยากรได้มากขึ้น

นายพงศ์วุฒิ กล่าวปิดท้ายว่า อย่างไรก็ตามช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดระบบให้ทุกคนสามารถเอาโปรเจคของ Big Bang ไปต่อยอด เพื่อพัฒนาในรูปแบบของตัวเองได้ นอกจากนี้บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่สามารถประยุกต์ไปใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทยตลอดจนไปสู่ระดับนานาชาติ และพร้อมเป็นผู้ให้บริการด้านการพัฒนาระบบต่างๆ ในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การบริหาร ในด้านการขยายกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในรูปแบบออนไลน์ภายใต้การสร้างโลกเสมือนจริง และการสร้างประสบการณ์ด้านเมตาเวิร์สให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 พ.ค. 66)

Tags: , ,
Back to Top