สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้สัมภาษณ์บรรดาผู้เชี่ยวชาญในแวดวงธุรกิจของไทยเกี่ยวกับแนวโน้มของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ภายหลังการเลือกตั้งซึ่งจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้
รายงานของบลูมเบิร์กระบุว่า นักลงทุนของไทยต่างก็ตั้งความหวังว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งนี้จะสามารถพลิกฟื้นตลาดหุ้นไทยที่ทำผลงานย่ำแย่ที่สุดในเอเชียปีนี้ ขณะที่พรรคการเมืองเกือบทุกพรรคให้คำมั่นสัญญาว่าจะอัดฉีดเงินมูลค่านับแสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ดัชนี SET ร่วงลง 6.4% แล้วในปีนี้ สวนทางกับการคาดการณ์ที่ว่าดัชนีจะทะยานขึ้นเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งในอดีตที่ผ่านมา ขณะที่เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเกือบ 1.8 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากมองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นผลมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงิน
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญได้แสดงมุมมองเชิงบวกว่า ภาวะซบเซาของเศรษฐกิจมหภาคของไทยอาจจะเริ่มดีขึ้นภายหลังการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.นี้ โดยผลการสำรวจบ่งชี้ว่าบรรดาพรรคฝ่ายค้านซึ่งรวมถึงพรรคเพื่อไทยอาจจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นการสิ้นสุดการปกครองโดยรัฐบาลทหารที่กินเวลานานเกือบ 10 ปี โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยซึ่งให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้นโยบายประชานิยมซึ่งรวมถึงการแจกเงินให้กับประชาชน ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และมาตรการอื่น ๆ อีกหลายด้านเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ
นายวโรฤทธิ์ จีระชน Executive Director กลุ่มวิเคราะห์การลงทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์กล่าวว่า “มาตรการกระตุ้นด้านการคลังโดยรัฐบาลชุดใหม่จะช่วยเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการเติบโตของผลประกอบการในภาคเอกชน และราคาหุ้น เรายังคงมีมุมมองว่า ตลาดหุ้นจะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งหลังการเลือกตั้ง”
ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า ในช่วงการเลือกตั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 5.5% ในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง และปรับตัวขึ้นในสัดส่วนเท่ากันในเดือนถัดมา ขณะที่นักวิเคราะห์อีกหลายรายคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยจะดีดตัวอย่างแข็งแกร่ง หากผลการเลือกตั้งออกมาเป็นที่ชัดเจนว่า มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ได้รับชัยชนะและสามารถจัดตั้งรัฐบาล
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยของบล.เอเซีย พลัส แสดงความเห็นว่า การที่พรรคการเมืองต่าง ๆ แข่งขันกันนำเสนอนโยบายที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้น จะช่วยให้ดัชนี SET พุ่งขึ้นเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเลือกตั้งในอดีต พร้อมกับกล่าวว่า เดือนพ.ค.ถือเป็นเดือนที่เหมาะกับการสะสมหุ้นเข้าพอร์ต โดยแนะนำนักลงทุนซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เช่น หุ้นบมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) และหุ้นบมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM)
อย่างไรก็ดี การที่ตลาดหุ้นไทยจะสามารถรักษาแรงบวกต่อไปภายหลังการเลือกตั้งได้หรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากภาวะอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงเป็นวงกว้างทั่วโลกในขณะนี้กำลังบดบังปัจจัยบวกจากการที่นักท่องเที่ยวชาวจีนแห่เดินทางมายังประเทศไทย นอกจากนี้ หากผลการเลือกตั้งออกมาไม่ชัดเจนว่าพรรคใดได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยด้วย
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยภายหลังการเลือกตั้ง พร้อมกับแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นบางกลุ่ม โดยนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบล.ทรีนิตี้แนะนำว่า นักลงทุนควรมุ่งเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่พึ่งพาปัจจัยภายในประเทศ เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มการค้า และกลุ่มเฮลท์แคร์ ซึ่งตามสถิติแล้วหุ้นเหล่านี้มักจะทำผลงานได้ดีเยี่ยมในช่วงที่มีการเลือกตั้ง พร้อมกับกล่าวว่าตลาดจะมีปฏิกิริยาเชิงบวกหากผลการเลือกตั้งชี้ชัดว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ค. 66)
Tags: SET, SET Index, ตลาดหุ้นไทย, บลูมเบิร์ก, หุ้นไทย