บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า กระแสความวิตกกังวลที่ว่าหนี้สินของกระทรวงการคลังสหรัฐจะพุ่งขึ้นเพดานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ได้ส่งผลให้นักลงทุนพากันหลีกเลี่ยงการถือครองพันธบัตรระยะยาว และหันไปซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อพักเงินสด ซึ่งรวมถึงตั๋วเงินคลัง (Treasury bills) อายุ 1 เดือน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การผิดนัดชำระหนี้ของกระทรวงการคลังสหรัฐอาจจะเกิดขึ้นในเดือนก.ค.หรือเดือนส.ค. หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการเพิ่มเพดานหนี้
ทั้งนี้ ความกังวลในเรื่องดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการถือครองพันธบัตรระยะยาวเนื่องจากต้องถือเป็นระยะเวลานานจึงจะไถ่ถอนได้ และหันไปซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อพักเงินสด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือตั๋วเงินคลังอายุ 1 เดือน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังอายุ 1 เดือนร่วงลงอย่างหนัก และทำให้ค่าสเปรดของอัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังอายุ 1 เดือน และ 3 เดือนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่สหรัฐเปิดตัวตั๋วเงินคลังอายุ 1 เดือนในปี 2544
สำนักงานงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ (CBO) เตือนว่า กระทรวงการคลังสหรัฐอาจจะไม่สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.ปีนี้ นอกเสียจากว่ากระทรวงจะสามารถตกลงกับสภาคองเกรสเพื่ออนุมัติการปรับเพิ่มเพดานหนี้หรือยกเลิกเพดานหนี้ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์
CBO กังวลว่าการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอาจจะเกิดขึ้นก่อนเดือนก.ค.ปีนี้ หากรายได้ที่ไหลเข้าสู่กระทรวงการคลังในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นเดือนที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะต้องยื่นแบบชำระภาษีประจำปีนั้น อยู่ต่ำกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้
“หากไม่มีการปรับเพิ่มเพดานหนี้หรือยกเลิกเพดานหนี้ก่อนที่มาตรการพิเศษจะหมดอายุ รัฐบาลก็จะไม่สามารถชำระหนี้ตามภาระผูกพันได้ทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นต้องเลื่อนการจ่ายงบประมาณสำหรับกิจกรรมบางอย่าง และนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้” CBO ระบุในรายงาน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 เม.ย. 66)
Tags: พันธบัตร, สหรัฐ, หนี้, เศรษฐกิจสหรัฐ