เลือกตั้ง”66: “เรืองไกร” จี้ กกต.สอบเพื่อไทย 3 ประเด็น ส่อผิดถึงขั้นยุบพรรค

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบพรรคเพื่อไทย ใน 3 ประเด็น ดังนี้

1. กรณี น.ส. แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ปราศรัยบนเวทีที่ จ.อุดรธานี เมื่อช่วงต้นปีด้วยถ้อยคำว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” เนื่องจากเห็นว่าคำพูดดังกล่าว เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (5) โดยได้รวบรวมหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอการปราศรัย และข้อความจากเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ของพรรค

2. กรณีนายณัฐวุฒิ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ขึ้นเวทีไปปราศรัยช่วยหาเสียง เนื่องจากนายณัฐวุฒิ นอกจากไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้ว ยังต้องคำพิพากษาคดีบุกรุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย การกระทำของนายณัฐวุฒิ บ่งบอกถึงการเป็นดาวเด่นของพรรคเพื่อไทย

ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่าเป็นการชี้นำครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมา เคยยื่นร้องในประเด็นดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ขณะนั้น กกต.ชี้แจงว่านายณัฐวุฒิ ได้ขึ้นเวทีแค่สวมเสื้อของพรรคอย่างเดียว จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 28 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

“เรื่องนี้ เทียบเคียงกรณีที่นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อปี 2562 โดยสวมเสื้อของพรรค แต่ไม่ได้ปราศรัย จึงอยากให้ กกต.พิจารณา เพราะถ้าการกระทำของนายณัฐวุฒิ เข้าข่ายผิดมาตรา 28, 29 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง สามารถเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป”

นายเรืองไกร กล่าว

3. ขอให้ กกต.ตรวจสอบนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้พูดบนเวทีปราศรัย ซึ่งพบฐานข้อมูลว่ามีประชาชนที่สามารถได้รับสิทธินี้ 56 ล้านคน ใช้งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท

การใช้ถ้อยคำว่า “งบประมาณ” กับการหาเสียงในนโยบายดังกล่าว นั่นหมายถึงการใช้งบประมาณแผ่นดิน ตามมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งการใช้งบประมาณดังกล่าว จะใช้ได้เฉพาะกฎหมายการเงินการคลัง ไม่สามารถใช้หาเสียงในลักษณะดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เลขาธิการกกต. ต้องรับฟัง ซึ่งการหาเสียงลักษณะนี้ ทำเกินกรอบการใช้งบประมาณแผ่นดินหรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวว่า จากตัวเลขที่ใช้งบประมาณมากถึง 5.6 แสนล้านบาท ที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าเป็นเงินมาจากการจัดเก็บภาษี 2.6 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขงบประมาณแผ่นดินปี 2567 ที่รัฐบาลคำนวณการจัดเก็บภาษีได้เพียง 2.67 แสนล้านบาท แต่ตัวเลขการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ถูกรวมอยู่ในกรอบการจัดเก็บงบประมาณปี 2567 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่มีเงินเหลือไว้ใช้กับนโยบายดังกล่าวแล้ว

“ผมท้าให้ใครก็ได้ มาถกกฎหมายงบประมาณด้วยกัน กางกฎหมายวินัยการเงินการคลัง กางรัฐธรรมนูญมาถกกัน พวกท่านเป็นกรรมาธิการงบประมาณมา 4 ปี แต่ทำไมถึงตกประเด็นนี้ ข้อมูลที่บอกว่าจะเก็บเพิ่มได้อีกนั้น ไม่ใช่ ซึ่งสำนักงบประมาณ ได้อธิบายเงินที่จ่ายผ่านกระทรวงต่างๆ หน่วยงานต่างๆ เป็นร้อยโครงการ ซึ่งเงินเอาไปใช้หมดแล้ว

ดังนั้น กรณีกระเป๋าเงินดิจิทัล จะต้องกลับไปรื้องบประมาณใหม่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รื้องบของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะรื้อได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจัดเก็บภาษีได้ตามที่พรรคการเมืองได้หาเสียงไว้ ผมจึงมองว่าผิดมาตรา 73 (5) เพราะนโยบายดังกล่าว ก่อนเงินจะตกไปในกระเป๋าของประชาชน จะต้องผ่านกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาลก่อน แล้วหน่วยงานไหนจะใช้เงินดิจิทัลตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียง” นายเรืองไกร กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 เม.ย. 66)

Tags: , , , , ,
Back to Top