นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า กรณีเกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่รถประชาสัมพันธ์หาเสียงของนายประชา ประสพดี ผู้สมัคร ส.ส. สมุทรปราการ ระหว่างหาเสียงเมื่อวานนี้ (19 เม.ย.) ถือเป็นการใช้อำนาจอันมิชอบ เพราะขณะนี้อยู่ในวาระของการเลือกตั้ง ภายใต้การบริหารจัดการในรัฐบาลนี้ และอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องสืบสวนให้ชัดเจน เพราะผู้ก่อเหตุเป็นหัวคะแนนของพรรคการเมืองที่มีความเกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
“นายกรัฐมนตรี ต้องสืบให้ทราบว่าเกิดปัญหานี้ได้อย่างไร จะรับผิดชอบอย่างไร แล้วจะจัดการปัญหานี้อย่างไร ส่วน กกต.ต้องเข้ามาดูแล เพราะเข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุ
นอกจากนี้ ยังได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีข้าราชการตำรวจระดับสูงใช้อิทธิพลของรัฐ อำนาจรัฐ กลไกของรัฐ ช่วยหาคะแนนเสียงให้กับพรรคการเมืองหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสาน โดยเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับผู้กำกับ ผู้การ สารวัตร ให้ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้พรรคการเมืองหนึ่งได้รับชัยชนะในหลายเขตเลือกตั้ง เมื่อมีข่าวนี้เกิดขึ้นนายกรัฐมนตรีในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรสร้างความกระจ่าง ไม่ควรทำให้เกิดข้อครหา และทำให้ประชาชนไม่สบายใจในบรรยากาศการเลือกตั้ง มิฉะนั้นอาจจะถูกมองได้ว่า ผู้นำของประเทศอยากสืบทอดอำนาจของตนเอง และจะใช้อำนาจทุกวิถีทางเพื่ออยู่ต่อ
“เราไม่ควรมีบรรยากาศการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยที่มีการข่มขู่ คุกคาม อันนำไปสู่การทำลายระบบประชาธิปไตย ทำให้เกิดการหวาดหวั่นในการเลือกตั้งที่จะถึง และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นอีก ไม่ควรมีกระบวนการใด อิทธิพลใด หรือการกระทำใดๆ ที่กระบวนการของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง และข่มขู่ผู้สมัครที่ต่างพรรค ต่างเบอร์ ต่างความคิดกัน กกต.ไม่ต้องรอให้พรรคเพื่อไทยร้องเรียน สามารถดำเนินการสอบสวนได้เลย” นายภูมิธรรม กล่าว
ขณะที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคฯ และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการการเลือกตั้ง ส.ส. กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการคุกคาม ขู่เข็ญ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค และผู้สนับสนุนให้เกิดความหวาดกลัว ส่งผลต่อการได้เปรียบ เสียเปรียบในการเลือกตั้งที่จะส่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ตัวผู้กระทำผิดก็มีพฤติกรรมเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองที่นายกรัฐมนตรีมีความเกี่ยวข้องอีกด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องลงมารับผิดชอบตรวจสอบและดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันอีก
ทั้งนี้ พฤติการณ์ของผู้กระทำผิด พรรคเพื่อไทยมีความเห็นว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง และกฎหมายพรรคการเมือง เพราะเป็นการคุกคามต่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ข่มขวัญแต่หวังเอาชีวิต ดังนั้น กกต.ควรเข้าไปตรวจสอบเพื่อเอาผิดพรรคการเมือง และนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
พร้อมกันนี้ มีข้อสังเกตเพิ่มเติมอีก 2 ประการ คือ 1.สถานที่เกิดเหตุระเบิด และสถานีตำรวจอยู่ห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตร แต่เมื่อผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ แจ้งไปยังสถานีตำรวจ กลับใช้เวลาเดินทางมาตรวจสอบนานถึง 30 นาที ทั้งที่ควรใช้เวลาแค่ 5-10 นาทีเท่านั้น และ 2.หลังจับกุมผู้กระทำผิดทำการสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำผิดเบาเกินไป ไม่สมเหตุสมผล ได้แก่ ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว ,ทำให้เสียทรัพย์, มีความพยายามทำร้ายร่างกาย และทำให้ส่งเสียงดังอื้ออึง
“ปกติแล้วนายประชา จะนั่งไปในรถหาเสียงคันดังกล่าวด้วย หากวันนั้นนายประชา อยู่ในรถคันดังกล่าวในวันเกิดเหตุ โดนระเบิดหลบไม่ทัน หมายถึงการประสงค์ต่อชีวิต ดังนั้นการตั้งข้อหาที่เบาเกินไป จึงดูขาดน้ำหนัก” นายประเสริฐ กล่าว
พร้อมระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้นต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพราะเป็นการใช้อำนาจคุกคาม ขู่ขวัญ ของพรรคการเมือง ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นหัวคะแนนพรรคการเมืองหนึ่งอย่างชัดเจน ส่วน กกต. ไม่ต้องรอให้พรรคเพื่อไทยร้องเรียน เพราะเป็นประเด็นสาธารณะ สามารถเข้าไปตรวจสอบ เพื่อเอาผิดกับพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวได้ทันที เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ร.บ.พรรคการเมือง และ พ.ร.บ. เลือกตั้ง
นอกจากนี้ การที่ผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นโรคทางจิตเวช แต่ในข้อเท็จจริง ผู้กระทำความผิดเคยได้รับโทษจำคุกเป็นเวลา 9 เดือนมาแล้ว ในระหว่างนั้นได้ยกเอาสาเหตุอาการป่วยทางจิตมาเป็นสาเหตุอ้างต่อศาล แต่ศาลไม่รับฟัง และได้ตัดสินจำคุกผู้ต้องหา 9 เดือน ในครั้งนี้ตนกังวลว่าจะมีการยกเอาเหตุผลทางจิตเวชขึ้นมาอีก
ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ได้แจ้งไปยังผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 400 เขต ให้ระมัดระวังในการลงพื้นที่ และเป็นศูนย์กลางในการรับเรื่องการลงพื้นที่ต่างๆ โดยปัจจุบัน เรื่องที่ได้รับร้องเรียนมาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการทำลายป้ายหาเสียง แต่ในกรณีของปาระเบิดรถหาเสียงของนายประชาเป็นการทำลายกระบวนการหาเสียง เพื่อการประสงค์ต่อชีวิต
ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในข้อกฎหมายสามารถ ตั้งข้อสังเกตหรือเอาผิดในกรณีนี้ได้ 2 ประเด็น คือ
1.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชัดเจนว่าอยู่ในช่วงเวลาที่ได้มี พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 แล้ว การทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งในช่วงเวลานี้ ถือเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ต้องเข้ามาดูแลและดำเนินดคี หากสอบสวนแล้วพบผู้กระทำผิด โทษตามที่กฎหมายระบุไว้ อาจมีโทษถึงจำคุก หรือหากสอบสวนแล้วพบว่ามีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งเสริม หรือทราบเรื่องแต่ไม่ห้ามปราบ อาจมีผลถึงขั้นยุบพรรคการเมืองได้
2.พฤติกรรมข้าราชการที่วางตนไม่เป็นกลาง หรือช่วยเหลือสนับสนุนใดๆ ให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง เนื่องจากกฎหมายเลือกตั้งได้ให้อำนาจ กกต. สั่งห้ามไม่ให้ข้าราชการกระทำการที่สุ่มเสี่ยงต่อการเอื้อต่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง และหากสั่งการแล้ว ข้าราชการไม่เชื่อฟัง กกต.มีอำนาจเสนอย้ายข้าราชการเหล่านั้นให้ออกจากพื้นที่ จึงขอแจ้งไปยังผู้สมัคร ส.ส.องพรรคเพื่อไทย ว่าหากพบพฤติกรรมของข้าราชการ และอาจทำให้ผู้สมัครได้รับความเสียหาย หรืออยู่ในการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรม ผู้สมัครสามารถใช้กฎหมายข้อนี้ในการเอาผิดได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 เม.ย. 66)
Tags: การเมือง, ชูศักดิ์ ศิรินิล, ประเสริฐ จันทรรวงทอง, พรรคการเมือง, พรรคเพื่อไทย, ภูมิธรรม เวชยชัย, หาเสียงเลือกตั้ง, เลือกตั้ง