นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ มธ. มองโจทย์การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำจากนโยบายเลือกตั้ง ย้ำไม่ใช่เพียงเพิ่มสวัสดิการ แต่ยังต้องจำกัดอำนาจทุนผูกขาด สร้างความเสมอภาค รื้อมรดกรัฐบาลเดิม ชี้ประชาชนต้องช่วยกันกดดัน ส.ว. ให้ยอมรับพรรคการเมืองที่ถูกเลือกมาอย่างถูกต้อง
สำหรับนโยบายด้านสวัสดิการ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา พบว่าพรรคการเมืองได้เน้นเรื่องการสร้างระบบสวัสดิการเพิ่มขึ้น แม้ว่าพัฒนาการของระบบสวัสดิการไทยจะชะลอตัวลงในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา แต่ในการเลือกตั้งปี 2566 นี้ พบว่าพรรคการเมืองได้กลับมาให้ความสำคัญกับการสร้างระบบสวัสดิการอีกครั้ง เนื่องจากยังมีความต้องการจากประชาชนในด้านนี้อยู่มาก
นายธร กล่าวว่า นโยบายที่เกี่ยวข้องกับด้านสวัสดิการที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงอยู่ในขณะนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การสร้างระบบบำนาญสำหรับผู้สูงอายุ และยังมีนโยบายอื่นๆ เช่น เงินช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย ตลอดจนนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อยกระดับรายได้ของคนทั่วประเทศ ซึ่งโดยส่วนตัวอยากเสนอว่านโยบายเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ต้องทำให้ครอบคลุมเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับมิติเชิงคุณภาพของนโยบาย และควรบริหารจัดการอย่างเป็นระบบด้วย
การใช้งบประมาณเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ถือเป็นเรื่องปกติของการจัดทำนโยบาย แต่ประเด็นที่ต้องตั้งคำถามคือสุดท้ายจะใช้ได้มากเพียงใด แนวทางการจัดสรรเงินให้นโยบายต่าง ๆ เหมาะสมหรือไม่ และถึงแม้ว่านโยบายของแต่ละพรรคการเมืองจะมีการแข่งขันกันโดยมีจำนวนเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่คงไม่สามารถเหมารวมว่าทุกนโยบายเป็น “ประชานิยม” ได้ โดยเฉพาะกับนโยบายที่เน้นการพัฒนาระบบสวัสดิการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
“นโยบายที่ช่วยขยายระบบสวัสดิการของรัฐ เป็นสิ่งที่ดี เพราะหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในระดับสากลแล้ว ประเทศไทยยังลงทุนเรื่องสวัสดิการค่อนข้างน้อย และยังมีนโยบายที่สามารถทำได้อีกหลากหลายรูปแบบ ที่สำคัญคือปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ มีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่ยากจนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก จึงจำเป็นต้องมีสวัสดิการมารองรับ”
นายธร กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายที่อยากให้พรรคการเมืองควรดำเนินการ เช่น นโยบายเรื่องการจำกัดอำนาจของทุนผูกขาด รวมถึงการทำให้ค่าแรงเหมาะสม ทันตามค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา การเพิ่มการดูแลเด็กเล็กที่ขาดโอกาส ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้
พร้อมมองว่า พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง และได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนสูงที่สุด ยังต้องเผชิญกับด่านต่อไปในการทำนโยบายให้ออกมาได้จริง ได้แก่ 1. งบประมาณ ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับการทำได้ครบทุกนโยบายตามที่มีการหาเสียงไว้ 2. ระบบราชการและการเมือง โดยเฉพาะระบบเลือกตั้ง จากการที่มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 250 คน มีสิทธิในการเลือกนายกรัฐมนตรี จนทำให้เกิดความไม่แน่นอน เพราะพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ก็อาจจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
“อันดับแรก คือเราต้องช่วยกันกดดัน ส.ว.ให้มากที่สุด ถ้าพรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกมาได้อันดับ 1 ชัดเจนแล้ว ต้องการจัดตั้งรัฐบาล ส.ว.ไม่ควรจะมีบทบาทไปสนับสนุนคนจากพรรคการเมืองอื่นเข้ามาแทน เรื่องนี้ถือว่าเป็นหลักการสำคัญ และยังมีปัญหาที่ควรตระหนักอีกว่า กรณีที่หากมีการเลือกนายกฯ ที่เป็นเสียงข้างน้อยขึ้นมา ก็จะมีปัญหาทางเสถียรภาพของรัฐบาล และอาจกลายเป็นวิกฤตการเมืองที่ต้องไปแก้กันนอกระบบอีก ส่งผลให้ประเทศเกิดปัญหาทางการเมืองไม่จบสิ้น”
นายธร กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 เม.ย. 66)
Tags: นโยบายหาเสียง, สวัสดิการ, เลือกตั้ง