ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) เปิดเผยว่า ชาวมาเลเซียอาจไม่เหลือเงินออมทรัพย์เมื่ออายุ 58 ปี ซึ่งเป็นผลจากค่าแรงที่ระดับต่ำ ภาระหนี้สินสูง และมีการถอนเงินเกษียณอายุออกมาใช้ก่อนกำหนดในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด และสถานการณ์ดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะย่ำแย่ลง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานในวันนี้ว่า มีการถอนเงินประมาณ 1.45 แสนล้านริงกิต (3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ออกจากบัญชีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นไปได้ว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลในสมัยนั้น
การถอนเงินเป็นกรณีพิเศษทำให้ทรัพย์สินของกองทุนบำเหน็จบำนาญภายใต้การบริหารจัดการของธนาคารกลางมาเลเซียลดลงเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว โดยธนาคารกลางมาเลเซียระบุว่า มีความเสี่ยงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วที่ว่าเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญของชาติอาจไม่เพียงพอ และการถอนเงินออกไปอีกยิ่งทำให้ความเสี่ยงนั้นทวีความรุนแรงขึ้น
นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย เผชิญแรงกดดันอย่างหนักเพื่ออนุญาตให้ประชาชนถอนเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญอีกครั้ง โดยฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอนุมัติให้มี “การถอนเงินตามวัตถุประสงค์เฉพาะ” อีกรอบเพื่อช่วยเหลือประชาชนชาวมาเลเซียที่กำลังเดือดร้อน
“ประชาชนต้องการความช่วยเหลือในตอนนี้ ไม่ใช่ในอีก 15 ปี ข้างหน้า” นายอิสมาอิล ซาบรี ยาค็อบ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในสภา ท่ามกลางการทุบโต๊ะสนับสนุนของพวกพ้อง “บ้านของพวกเขากำลังถูกขายทอดตลาดในตอนนี้ ลูกหลานของพวกเขาต้องการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในตอนนี้ และตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญกับภาวะล้มละลาย”
นายอันวาร์ได้ปฏิเสธการเรียกร้องดังกล่าว ทำให้ฝ่ายค้านเดินออกจากรัฐสภาเพื่อเป็นการประท้วงเมื่อวันจันทร์ (3 เม.ย.) ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ในวันเดียวกันนั้น คนขับแท็กซี่รายหนึ่งเดินเท้าเป็นระยะทาง 312 กิโลเมตรไปยังพระราชวังในกรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อยื่นคำร้องในการขอถอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก่อนกำหนด ซึ่งเรื่องราวของเขากลายเป็นไวรัลบนติ๊กต๊อก และทำให้ความร้อนแรงทางการเมืองที่นายอันวาร์เผชิญอยู่เพิ่มขึ้นอีก ขณะที่การเลือกตั้งใน 6 รัฐจะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 เม.ย. 66)
Tags: BNM, ธนาคารกลางมาเลเซีย, แบงก์ชาติ