เลือกตั้ง’66: “สุพัฒนพงษ์” สวมเสื้อรทสช.ลงปาร์ตี้ลิสต์ สานต่อคนละครึ่ง-ช้อปดีมีคืน-เราเที่ยวด้วยกัน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังร่วมเปิดตัวเป็น 1 ในทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า จะรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับพรรค โดยมี มล.ชโลทิต กฤดากร เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค และพร้อมที่จะลงส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรค แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพรรค

สำหรับการเปิดตัวนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคนั้น ได้ทยอยเปิดมาแล้ว โดยจะไม่เน้นการให้ในลักษณะเหวี่ยงแห แต่จะให้แบบมุ่งเป้า สำหรับกลุ่มที่จำเป็น และเชื่อเหลืออย่างเป็นระบบ ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤตก็ใช้เงินอย่างเหมาะสม ให้กับกลุ่มคนที่เดือดร้อนที่สุด จึงออกมาในรูปแบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ทำให้ประชาชนดำรงชีวิตได้ระดับหนึ่ง ก่อนที่จะมีเวลาหายใจทำมาหากิน สร้างรายได้ต่อไป ซึ่งพรรคเติมเรื่องของโอกาสให้ไปเรื่อยๆ เน้นการส่งเสริมในธุรกิจรูปแบบใหม่ ที่เน้นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ส่วนวิธีการจะออกมารูปแบบใด ม.ล.ชโยทิต จะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ (24 มี.ค.)

สิ่งที่พรรคจะดำเนินการคือ เตรียมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยตนพร้อมที่จะแก้ไขและตั้งทีมขึ้นมาดูแลโดยตรง ซึ่งมีแนวทางไว้หมดแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการหารายได้เข้าประเทศ ทำให้ประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจต่อการลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งเรื่องนี้ม.ล.ชโยทิต ได้ดำเนินการตลอด 2 ปีที่ผ่าน ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงว่า ไม่ได้ทำ แต่ทั้งหมดได้ทำแล้ว และจะทำต่อไป

พร้อมกันนี้ นายสุพัฒนพงษ์ ยืนยันว่า โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน และเราเที่ยวด้วยกัน จะชูเป็นนโยบายของพรรคและทำต่อไป

นายสุพัฒนพงษ์ ย้ำว่า นโยบายที่ทำมาไม่ได้ทำให้เสียวินัยการเงินการคลัง ขณะเดียวกันจะปรับปรุงนโยบายคนละครึ่งให้เข้ากับสถานการณ์ และครั้งนี้จะเพิ่มถุงเงิน เน้น SMEs คนตัวเล็ก ซึ่งขณะนี้ถุงเงินภายใต้โครงการคนละครึ่ง มีประมาณ 1 ล้านราย แต่จะให้เพิ่มเป็น 5 ล้านราย

สำหรับเหตุผลที่ตัดสินใจมาร่วมงานเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของพรรค นายสุพัฒนพงษ์ ยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เชิญมาร่วมงาน และมาจากแรงบันดาลใจของทีมเชิงรุกของมล.ชโลทิต ที่ได้เดินสายดึงดูดนักลงทุนตลอด 2 ปี จึงอยากทำต่อ ทั้งนี้ งานการเมืองครั้งนี้ จะเป็นสนามแรกและเป็นสนามสุดท้าย ด้วยเพราะอายุ แต่ยืนยันจะสนับสนุนพรรคอย่างเต็มที่ เพราะได้วางรากฐานในระบบนิเวศไว้แล้ว และเชื่อว่า จะใช้เวลาอีกไม่นานภายใน 1-2 ปีนี้ จะเห็นความคุ้มค่า และจะพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่า ประเทศไทยได้ผ่านวิกฤตมาแล้วก็จะไม่กลับไปสู่ที่เดิมและจะทำให้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะพลังงานสะอาดที่ได้ทำมา ถือว่าเป็นที่ยอมรับของสากลและได้รับการตอบรับที่ดี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มี.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top