RICHY จับมือ Kokotel จากญี่ปุ่นบริหาร The Rich Residence Hotel สร้างรายได้ประจำ-ตอบโจทย์ลูกค้าลงทุนอสังหา

บมจ.ริชี่ เพลซ 2002 (RICHY) ลงนามความร่วมมือกับ Kokotel (Thailand) Co.,Ltd.บริษัทผู้มีความเชี่ยวชาญ Hotel Operator ด้านการบริหารจัดการโรงแรมสัญชาติญี่ปุ่น เน้นบริหารธุรกิจโรงแรม ภายใต้โมเดล “Centralized Operation” ดูแลจัดการโรงแรมครบวงจร โดยจะเข้าร่วมบริหารโครงการ The Rich Residence Hotel เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ

นางสาวพิชญา ตันโสด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RICHY เปิดเผยว่า Kokotel จะเข้ามาร่วมบริหารในโครงการ The Rich Residence Hotel เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งโครงการดังกล่าว อยู่ในทำเลดีที่สุดของกรุงเทพฯ โดยการได้ร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีและเป็นปรากฎการณ์ใหม่ ซึ่งเชื่อมั่นว่าความเป็นมืออาชีพของทีมบริหาร Kokotel จะตอบโจทย์ของบริษัทฯได้ดีที่สุด และสามารถจะช่วยต่อยอดในโครงการอื่น ๆที่กำลังศึกษาเพิ่มเติมอีกในอนาคต

“สำหรับผลตอบแทนที่จะได้จากความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยตอบโจทย์เจ้าของห้อง อำนวยความสะดวก สำหรับผู้ซื้อที่ต้องการลงทุน ให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ขณะที่บริษัทฯจะได้รับรายได้ในรูปแบบ recurring income เนื่องจากบางส่วนของโครงการ ยังเป็นส่วนที่ทางบริษัทฯยังถือครอง ขณะเดียวกัน Kokotel มีความชำนาญในการบริหารจัดการโรงแรม ซึ่งการได้มาเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันจะช่วยต่อยอดธุรกิจผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด” นางสาวพิชญากล่าว

สำหรับความร่วมมือดังกล่าว นอกจากการให้บริการในส่วนของโรงแรมแล้วทาง RICHY ก็จะมีการทำแคมเปญแพ็คเกจในส่วนของ Wellness เพิ่มเติมเข้ามาด้วย เนื่องจากปัจจุบันได้ร่วมกับโรงพยาบาลวิภาวดี ในการเปิดคลินิกด้าน Wellness ซึ่งสามารถนำมาจัดทำเป็นแคมเปญ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาใช้บริการในส่วนของโรงแรมด้วย

ขณะเดียวกันในส่วนของลูกบ้านหรือนักลงทุนที่สนใจที่จะลงทุน ทาง RICHY ได้ออกแคมเปญร่วมโครงการ สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีพร้อมที่จะการันตีผลตอบแทน ซึ่งการลงทุนในโครงการดังกล่าว เป็นการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯที่กำลังได้รับความนิยม เพราะมีการประกันผลตอบแทนอย่างน่าสนใจระดับสูง การันตี 21% รวม 3 ปี ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 6.89 ล้านบาทต่อยูนิตเท่านั้น รวมทั้งแนวโน้มผลตอบแทนมีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยหลังจาก 3 ปีถัดไป ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5-7%

นายเรย์ มัทสึดะ ประธานกรรมการบริหาร Kokotel กล่าวว่า การที่ตัดสินใจลงนามเป็นพันธมิตรในการบริหารโรงแรมให้กับ RICHY เนื่องจากมองเห็นศักยภาพและการเติบโต เนื่องจาก The Rich Residence Hotel เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเล CBD พื้นที่ธุรกิจและการลงทุน อย่าง “เพลินจิต – นานา”

ถนนเพลินจิตยังเป็นถนนธุรกิจการค้าปลีกสายสำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ อีกด้วย ตอบโจทย์ทั้งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ระบบการคมนาคม อาคารสำนักงานเกรด A และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางเมือง รวมทั้งทำเลเพลินจิต-นานา ยังมีสถานทูตและสถานกงสุลต่างๆ กว่า 20 แห่งรวมถึงโรงพยาบาลชั้นนำระดับโลก เช่น โรงงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จึงเป็น Welcome Area สำหรับชาวต่างชาติ

อนึ่ง Kokotel เป็นบริษัทผู้มีความเชี่ยวชาญHotel Operator ด้านการบริหารจัดการโรงแรมสัญชาติญี่ปุ่น เน้นบริหารธุรกิจโรงแรม ซึ่งตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมามีการให้บริการทั้งในส่วนที่โคโคเทลไปเทคโอเวอร์มาบริหารเอง และในส่วนที่ร่วมมือกับเจ้าของโครงการ โดยปัจจุบันมีโรงแรมที่บริหารอยู่ในเมืองท่องเที่ยวหลักในประเทศไทย อาทิ ภูเก็ต กระบี่ พัทยา กรุงเทพ

การบริหารจัดการโรงแรมอยู่ภายใต้โมเดล “Centralized Operation” บริหารธุรกิจโรงแรมจากศูนย์กลาง ดูแลจัดการโรงแรมครบวงจร ด้วยทางโคโคเทลจะมีทีมหลังบ้านที่ช่วยดูแลทุกขั้นตอน ทำให้เจ้าของโครงการสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรโรงแรม และเพิ่มประสิทธิภาพการขาย เพื่อผลประกอบการที่ดีกว่าเดิม โดยโมเดลดังกล่าวจะเริ่มจากการสร้างทีมหลังบ้านที่ทำงานโดยทีมบริหารโรงแรมมืออาชีพจากสำนักงานใหญ่โคโคเทล ที่จะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ อย่างสอดคล้องกัน ได้แก่ ทีมขายและทีมตลาด วางแผนขายห้องพักอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นทั้งการขายแบบออนไลน์และผ่านตัวแทนต่าง ๆ พร้อมประเมินสภาพทางการตลาดและปรับโครงสร้างราคาของโรงแรมอย่างเหมาะสม, ทีมบัญชี ทำงานบันทึกและสรุปงบกำไรขาดทุนอย่างมืออาชีพ, ทีมไอที ทำหน้าที่คัดเลือกและควบคุมระบบไอที รวมถึงจัดการซอฟต์แวร์ที่จำเป็นต่อการบริหารโรงแรมอย่างเหมาะสม โดยทีมหลังบ้านโคโคเทลจะรับหน้าที่บริหารงานแทนเจ้าของโรงแรม พร้อมส่งมอบรายงานและจัดประชุมแจ้งผลการดำเนินงานเป็นประจำทุกเดือน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มี.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top