นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บลูบิค กรุ๊ป (BBIK) กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการทำ Synergy ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทในเครือทั้งหมดในปี 66 เพื่อสร้างการเติบโตร่วมอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวตามแผน “Growth at Scale” ด้วยการยกระดับการให้บริการแบบครบวงจรที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งขนาดใหญ่และกลาง พร้อมลุยธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต ตั้งเป้าขยายสัดส่วน Recurring Income โดยใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัทเข้าไปสนับสนุนการให้บริการและการเติบโตทั้งในส่วนรายได้และกำไร เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจผ่าน Cross-Selling และ Up-Selling ระหว่างกัน
“หลังจากปลดล็อคปัญหาจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีไม่เพียงพอ โดยมีอัตรากำลังที่เพิ่มขึ้นจาก 350 เป็น 800 ชีวิตแล้ว การเข้าซื้อกิจการของ VDD และ Innoviz ยังสร้างการเติบโตแบบ Inorganic growth ให้กับบลูบิคเป็นปีแรกด้วย ดังนั้นการเติบโตของผลประกอบการนับจากนี้ของบริษัทฯจะเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ สามารถรองรับการขยายบริการทั้งในและต่างประเทศ และบรรลุเป้าหมายการได้รับคัดเลือกเข้าดัชนี SET 100 ตามแผนที่วางไว้” นายพชร กล่าว
ในปี 66 จะเป็นปีแรกที่บริษัทสามารถเติบโตแบบ Inorganic Growth หลังปิดดีลควบรวมกิจการบริษัท วัลแคน ดิจิทัล เดลิเวอรี่ จำกัด (VDD) และบริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด (Innoviz) เสร็จสิ้น ทำให้สามารถบันทึกรายได้และกำไรของทั้งสองบริษัทได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/66 อีกทั้งกลุ่มบริษัทยังได้รับอานิสงส์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI อีกด้วย ทำให้บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการปี 66 จะโตได้ถึง 120% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 100% ซึ่งจะเป็นการทำ New high ต่อเนื่อง 7 ปีซ้อนต่อจากปี 2565 ที่ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทฯโตทุบสถิติต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ถึง 70% ต่อปี ถือเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงและเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ
การขยายตัวแบบ 360 องศาทั้งตลาดในและต่างประเทศ อีกทั้งการผนึกกำลังยังช่วยเสริมแกร่งให้กับกลุ่มบริการหลักรองรับความต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ยังเติบโตแรง สะท้อนผ่านมูลค่าแบ็คล็อกของบลูบิคและบริษัทในเครือ ณ วันที่ 31 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่สูงถึง 979 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น บลูบิคจำนวน 454 ล้านบาท บริษัทร่วมค้า (JV) 157 ล้านบาท และ VDD และ Innoviz 368 ล้านบาท (โดยมูลค่าแบ็คล็อกของ VDD และ Innoviz ที่บันทึกเป็นรายได้เข้าบริษัทแม่ จะเป็นมูลค่าแบ็คล็อกคงเหลือ ณ วันที่ปิดดีลเสร็จสมบูรณ์ในเดือนก.พ. ที่ผ่านมา)
สำหรับการเติบโตแบบ “Growth at Scale” บริษัทฯ ได้วางแนวทางการเติบโตไว้ 3 แนวทาง ดังนี้
แนวทางที่ 1 ผนึกกำลังบริษัทในเครือปูทางสู่การเติบโตระยะยาว : เร่งผสานการทำงานและความร่วมมือระหว่าง บลูบิค กับ VDD และ Innoviz เพื่อเพิ่มอัตราทำกำไรและ Revenue per Head ของทั้งสองบริษัท ในขณะที่บลูบิคเดินหน้าขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่เป็นองค์กรขนาดกลางและภาครัฐซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของสองบริษัท พร้อมทั้งเดินหน้าผนึกกำลังการทำงานร่วมกันของทุกบริษัทในเครือ
แนวทางที่ 2 เพิ่มขีดความสามารถในการรับงานมูลค่าระดับหลายร้อยล้านบาท พร้อมแข่งขันบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก : การ Synergy ระหว่างบลูบิคและบริษัทในเครือ ผนวกกับประสบการณ์การพัฒนาโซลูชันและแอปพลิเคชันที่สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานระดับหลายร้อยล้านคน จะทำให้บริษัทสามารถรับงานขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทและเป็นตลาดที่มีคู่แข่งน้อยราย โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าไทยหลายเท่าตัว ซึ่งบริษัทฯ มีข้อได้เปรียบด้านโครงสร้างราคาที่สามารถแข่งขันได้ จากปัจจัยดังกล่าวนี้จะทำให้บลูบิคกลายเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันสัญชาติไทยเพียงรายเดียวที่เทียบชั้นบริษัทต่างชาติได้
แนวทางที่ 3 รุกธุรกิจใหม่และเสริมแกร่งบริการหลักต่อเนื่องผ่าน JV, M&A พร้อมลุยขยายตลาดต่างประเทศ: เดินหน้าขยายธุรกิจผ่านกิจการร่วมค้า (Joint Venture) และการควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions – M&A) โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตและส่งเสริมบริการหลักให้แข็งแกร่งขึ้น เช่น Big Data การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนการขยายธุรกิจไปต่างประเทศต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาโอกาสทางธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา
การขยายธุรกิจตามแผน “Growth at Scale” ของ บลูบิค นั้นสอดรับกับแนวคิดการทำธุรกิจแห่งโลกอนาคต “Digital-First Company” ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ และพร้อมเผชิญหน้ากับ New World Order หรือระเบียบโลกใหม่ โดย Digital-First Company จะช่วยเชื่อมโยงและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ในระบบนิเวศของธุรกิจยุคใหม่ที่ประกอบด้วย องค์กร (Company) ลูกค้า (Customer) พันธมิตรทางธุรกิจ (Partner) และสังคม (Community)
บลูบิค ยกตัวอย่าง 5 Capability สำคัญในการขับเคลื่อน “Digital-First Company” ที่สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศทางธุรกิจ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสำหรับองค์กร ดังนี้
1. การพัฒนา Super App : ที่สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้จริง รวมถึงการเป็นช่องทางสร้างการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจได้
2. การใช้เทคโนโลยีขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์ หรือ Augmented Intelligence : ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มแต้มต่อทางธุรกิจพร้อมยกระดับการดำเนินงานให้องค์กรลูกค้าเหนือคู่แข่ง
3. สร้างความน่าเชื่อถือและเกราะป้องกันภัยทางไซเบอร์ หรือ Digital Immunity and Trust : เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กร เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ พร้อมสร้างความน่าเชื่อถือให้องค์กร
4. เทคโนโลยีเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน หรือ Sustainability Technology : การผลักดันการทำ ESG ในองค์กรให้ประสบความสำเร็จด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้าไปสนับสนุนในทุกแง่มุม เช่น การย้ายข้อมูลขึ้นระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มช่วยลดการใช้กระดาษจำนวนมหาศาล การเพิ่มช่องทางการสื่อสารและพื้นที่บนโลกออนไลน์ให้กับชุมชน/สังคม และการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจด้วยด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เป็นต้น
5. Agile Operations : แนวคิดการทำงานสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ใช้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกธุรกิจ ทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัวกว่าเดิม อีกทั้งช่วยให้รักษาขีดความสามารถในการแข็งขันและบรรลุเป้าหมายการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันได้อย่างราบรื่น
“การแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมากขึ้น เพราะการดำเนินงาน (Execution) ที่ช้าและไม่สอดรับกับอัตราความเร็วของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล อาจทำให้องค์กรต้องพบกับอัตราต้นทุนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ (Opportunity Cost) มูลค่ามหาศาล จนถึงต้องออกจากธุรกิจหรือเสียตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมไปก็ได้ ด้วยเหตุนี้ บลูบิค จึงมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจและบริการให้สอดรับกับเทรนด์การทำธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเร็ว ๆ บริษัทฯคาดว่าจะสามารถปิดดีลใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย” นายพชร กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มี.ค. 66)
Tags: BBIK, บลูบิค กรุ๊ป, พชร อารยะการกุล, หุ้นไทย