บล.หยวนต้า วิเคราะห์ผลกระทบที่จะมีต่อภาคธนาคารและสถาบันการเงินของไทย ภายหลัง Silicon Valley Bank (SVB) ของสหรัฐฯ ถูกปิดจากปัญหาสภาพคล่อง โดยนายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ระบุว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจะเห็นถึงความร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนในการออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นจากกระทรวงการคลังสหรัฐ และธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งได้มีมาตรการเรียกความเชื่อมั่น และคุ้มครองเงินฝากให้กับลูกค้าของธนาคาร ซึ่งเป็นมาตรการที่ออกมาอย่างรวดเร็ว ตรงจุด และช่วยลดความเสี่ยงต่อสถาบันการเงินอื่นที่อาจจะเกิดปัญหาสภาพคล่องตามมา โดยเชื่อว่าตลาดจะย่อยข่าวในช่วง 2-3 วันนี้ จากนั้นจะค่อยเห็นทิศทางดีขึ้น
“ล่าสุด กระทรวงคลังสหรัฐและเฟด การันตีว่าทุกคนเข้าถึงเงินได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ช่วยจำกัดความเสี่ยงของสภาพคล่องคนที่ฝากเงิน และทำให้คนจะไปถอนเงินอื่นๆ ลดลง ผลกระทบไม่ลาม แค่ถูกโยกย้ายจากแบงก์กลาง-เล็ก ไปแบงก์ใหญ่…มาตรการที่ออกมาพุ่งเป้า แก้ปัญหาตรงจุด อาจต้องรอผลประชุมเฟดดึกๆ คืนนี้ว่าจะพูดคุยมาตรการเพิ่มเติมหรือไม่”
นายภาดล กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าผลกระทบที่จะมาถึงธนาคารพาณิชย์ของไทยค่อนข้างมีจำกัด เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทยไม่มีความเสี่ยงเหมือนอย่างธนาคารของสหรัฐ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ของไทยมีสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ หรือพันธบัตรต่าง ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล เพียงไม่เกิน 14% ของสินทรัพย์รวม ในขณะที่ SVB มีสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้สูงถึง 55% ของสินทรัพย์รวม
“ถ้าดูมิติเดียวกัน ผลกระทบไทยกับสหรัฐ เทียบกับไม่ได้ ทั้งเรื่องสาเหตุ และการประเมินผลกระทบ หากให้ประเมินแบบ worst case กับตราสารที่ถืออยู่ตอนนี้ ตลาดตราสารหนี้บ้านเรา ความผันผวนน้อยมาก ต่อให้ขาย ก็กระทบกำไรแค่ 7% ไม่ได้กินฐานทุน จนทำให้ทุกอย่างต่ำกว่าเกณฑ์แบงก์ชาติ แต่ฝั่งนู้นที่เจ๊ง เพราะ VC (Venture Capital) แห่มาถอนเงิน แต่บ้านเราฐานลูกค้า VC น้อย ถึงแห่ถอนเงิน ก็ไม่ได้ทำให้ต้องขายตราสารออกมา ดังนั้นปัจจัยจึงต่างกัน”
นายภาดล กล่าว
พร้อมย้ำว่า ธนาคาร SVB ที่มีปัญหา เพราะเป็นแบงก์ที่มีความเฉพาะตัว ฐานลูกค้าเงินฝากที่เกิน 250,000 เหรียญสหรัฐของ SVB สูงเกิน 90% ทำให้เงินฝากกระจุกตัว โดยลูกค้าไม่กี่ราย และเงินกู้ก็กระจุกตัวในลูกค้าไม่กี่รายเช่นกัน ดังนั้นไม่เหมือนแบงก์อื่นๆ ขณะที่ธนาคารของไทยเป็นเศรษฐกิจแบบโบราณ ไม่มีฐานลูกค้าสตาร์ทอัพมาก เพราะเวลาสตาร์ทอัพลงทุนจะใช้การระดมทุนผ่านตลาดทุนเป็นหลัก ไม่ได้เป็นสินเชื่อ (Loan) และเราไม่มี VC ใหญ่ๆ ที่จะมาฝากเงินกับแบงก์ของเราสัดส่วนน้อยมากๆ ความโบราณของเรา จะทำให้รอด เพราะรอบนี้เกิดจาก start up crisis ของฝั่งสหรัฐ
พร้อมกับเชื่อว่าเหตุการณ์ที่ธนาคาร SVB ถูกสั่งปิดนี้ จะไม่ลุกลามบานปลายจนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเหมือนเช่นกรณีของวิกฤติ Subprime ในสหรัฐเมื่อปี 2008 ซึ่งวิกฤติในรอบนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการปล่อยสินเชื่อเพื่อกู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่หละหลวมเกินไป ร่วมกับการที่ธนาคารนำสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาขายใหักับนักลงทุน หรือเรียกว่าการทำ Mortgage Backed Securities (MBS)
จากนั้น ธนาคารได้นำ MBS ที่ดีและไม่ดี มารวมกันเป็น Collateral Debt Obligation (CDO) เพื่อขายให้นักลงทุนอีกที และเมื่อผู้กู้ เริ่มไม่สามารถชำระหนี้อสังหาฯ ได้ ผลกระทบจึงเกิดขึ้นในลักษะ Domino Effect ที่กระทบในวงกว้างไปสู่ธนาคาร นักลงทุนใน CDO และตลาดอสังหาฯ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มี.ค. 66)
Tags: Silicon Valley Bank, SVB, ตลาดหุ้น, ธนาคาร, บล.หยวนต้า, หุ้นไทย