ZoomIn: เจาะเกราะแบงก์ไทยเจอความแข็งแกร่ง-ฐานทุนหนา ความเสี่ยงล้มอย่าง SVB ยังต่ำมาก

นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ประเด็นการล้มของ Silicon Valley Bank (SVB) ที่เกิดขึ้น และสร้างความกังวลผลกระทบมาถึงธนาคารอื่นๆ ในสหรัฐ และอาจจะลุกลามมาถึงธนาคารอื่นๆในโลก ซึ่งเป็นความกังวลของนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยด้วยเช่นกัน

แต่หากมองมาถึงผลกระทบที่มาถึงแบงก์ไทย มองว่ามีผลกระทบต่อ sentiment เชิงลบในแง่ของราคาหุ้นที่อาจถูกแรงขายลดความเสี่ยงออกมามากกว่าการมองที่ปัจจัยพื้นฐานที่ยังมีความแข็งแกร่งอย่างมาก จากบทเรียนของวิกฤติต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้น ทำให้แบงก์ไทยยังยืนหยัดและมีความแข็งแกร่งลำดับต้นๆ ของโลก และมีความเสี่ยงต่ำมากไม่เกิน 1-2% ที่จะได้รับผลกระทบจากการล้มของ SVB ที่ลุกลามมา

การล้มของ SVB ล่าสุด เกิดจากปัญหาการขาดสภาพคล่องของกลุ่มลูกค้าเงินฝากและสินเชื่อ ซึ่งเป็นกลุ่มสตาร์อัพได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจ และเริ่มขาดสภาพคล่องทางธุรกิจ จึงต้องเบิกถอนเงินออกมาเติมสภาพคล่อง จนทำให้ SVB ขาดสภาพคล่องตามมาด้วย สร้างความกังวลต่อลูกค้าที่เข้ามาแห่มาถอนเงิน และสร้างปัญหา Bank Run แต่ยังไม่ถึงขั้น Bankrupt เหมือนเมื่อครั้งวิกฤติ Lehman Brothers ขณะที่การเข้ามาช่วยเหลือลูกค้าและเสริมสภาพคล่องของเฟดเช้าวันนี้จะเป็นผลบวกต่อกลุ่มแบงก์ในสหรัฐระยะสั้น ซึ่งยังคงต้องติดตามดูถึงเหตุการณ์ดังกล่าวต่อไป

สำหรับแบงก์ไทยเมื่อดูจากสภาพคล่องถือว่ายังอยู่ในระดับสูง จากฐานลูกค้าเงินฝากที่มีมาก และกลุ่มลูกค้าแทบไม่ค่อยได้เห็นการสลับหมุนเวียนไปฝากแบงก์อื่นที่เสนออัตราดอกเบี้ยสูงกว่า และฐานลูกค้าเงินฝากเป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป และกลุ่มลูกค้าภาคธุรกิจ เป็นธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมาก ขณะที่มีส่วนของกลุ่มลูกค้าสตาร์ทอัพค่อนข้างน้อย อัตราส่วน LCR (Liquidity Coverage Ratio) ของแบงก์ไทยถือว่าเกิน 100% ไปมาก เฉลี่ยอยู่ที่ 180% สะท้อนสภาพคล่องสูง

ด้านเงินให้สินเชื่อของกลุ่มแบงก์ไทยในปัจจุบันถือว่าอยู่ในกลุ่มที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อที่ให้กับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจดั้งเดิมในประเทศไทย แทบจะไม่มีการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มสตาร์ทอัพ และในส่วนสินเชื่อรายย่อยจะเห็นว่าปัจจุบันอาจจะเห็นการโตแบบค่อยไปเป็นค่อยไป เพราะแบงก์ไทยส่วนใหญ่ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายย่อยมากขึ้นเพื่อรักษาคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ หลังจากสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น

และ มาถึงความแข็งแกร่งของเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของแบงก์ไทยยังอยู่ในระดับสูง และหากเทียบกับแบงก์สหรัฐยังถือว่าสูงกว่าเท่าตัว ทำให้เห็นความแข็งแกร่งของแบงก์ไทยที่จะสามารถรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้มากกว่า และจะไม่เกิดภาพซ้ำรอยเหมือนกับวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 40

ส่วนการลงทุนอื่นๆ ของแบงก์ไทย โดยเฉพาะในตราสารหนี้ระยะยาว ถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมากเพียงกว่า 12% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีผลขาดทุนที่บันทึกเข้ามาบ้าง แต่เชื่ออว่าไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของแบงก์ไทยที่ยังคงเห็นกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง

นายกรกช มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าทยอยสะสมหุ้นกลุ่มแบงก์ในช่วงที่ราคาหุ้นมีการย่อตัวลงมาจากผลกระทบทางจิตวิทยาจากวิกฤติ SVB เนื่องจากความแข็งแกร่งของฐานทุนและประเภทสินเชื่อที่ปล่อยที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น BBL โดยให้ราคาเป้าหมาย 180 บาท/หุ้น ส่วนหุ้นแบงก์ขนาดกลางที่ให้ปันผลดีต่อเนื่องและราคาย่อตัวลงมา เช่น KKP ราคาเป้าหมาย 89 บาท/หุ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มี.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top