In Focus: เก็บตกประเด็นสำคัญที่โลกจับตาหลังจีนเปิดฉากประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ

ภาพ: รอยเตอร์

จีนเปิดฉากประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ประจำปีไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (5 มี.ค.) และการประชุมจะดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 13 มี.ค.นี้

In Focus สัปดาห์นี้จะนำเสนอประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตาจากการประชุมดังกล่าว

จีนกำหนดเป้า GDP ปีนี้ต่ำกว่าคาด

จีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับราว 5% ในปีนี้ โดยผู้นำระดับสูงของจีนหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่เพื่อที่จะเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภค ซึ่งก็บ่งชี้ว่า มีโอกาสน้อยลงที่เศรษฐกิจของจีนจะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงของจีนประกาศเป้าหมายผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อ NPC หรือรัฐสภาจีนที่ควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งได้เริ่มการประชุมประจำปีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (5 มี.ค.) ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ได้คาดกันไว้ว่า เป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนอาจจะสูงกว่า 5% เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น หลังจากจีนยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด-19

หลังจากที่จีนพลาดเป้าหมาย GDP ที่กำหนดไว้เมื่อปีที่แล้วอย่างมากเป็นครั้งแรก การกำหนดเป้าหมายใหม่ที่เป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้นในปีนี้ อาจจะช่วยฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของจีน และจะทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจชุดใหม่นั้น สามารถที่จะมุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายในระยะยาวมากขึ้น

แจ็กเกอลีน หรง รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจากบีเอ็นพี พาริบาส์กล่าวว่า การที่จีนหันไปพึ่งพาผู้บริโภคในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลังเลที่จะผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านภาคส่วนธุรกิจต่าง ๆ เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานนั้น บ่งชี้ว่า “ผลกระทบในเชิงบวกจะลดลง เมื่อเทียบกับวัฏจักรการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนในอดีต”

ในมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางทั่วโลกที่ต้องต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อสูงนั้น แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวนั้น อาจจะช่วยผ่อนคลายความกังวลด้านเรื่องเงินเฟ้อลงได้

จาง จือเว่ย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของพินพอยต์ แอสเซท แมเนจเมนต์กล่าวว่า เป้าหมาย GDP ควรนำมาพิจารณาเป็นระดับฐาน ซึ่งหมายความว่า การเติบโตที่แท้จริงอาจจะเกินเป้าหมายนั้น และเนื่องจากจีนได้ทำการยกเลิกนโยบายควบคุมโรคโควิด-19 แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จีนจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่อีกรอบ

ทั้งนี้ เป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับ 5% ยังคงสูงกว่าระดับที่รัฐบาลจีนรายงานการขยายตัวที่ 3% ในปีที่แล้ว และอาจจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจโลกบางส่วน ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า เมื่ออัตราการเติบโตของ GDP จีนเพิ่มขึ้น 1 จุดเปอร์เซ็นต์ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์ด้วย

อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะสูงเกินกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ โดยเมื่อวันจันทร์ (6 มี.ค.) ยูบีเอส กรุ๊ป เอจี ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนเป็น 5.4% จาก 4.9% ขณะที่อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจีนรายหนึ่งกล่าวว่า การวิเคราะห์เป้าหมาย GDP ในระดับมณฑลนั้นบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนโดยรวมจะขยายตัวประมาณ 5.6% ในปีนี้

นายหลี่กล่าวจีนว่า การกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศซึ่งพึ่งพาการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนทางธุรกิจนั้น จะเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญสูงสุดในปีนี้ ในขณะที่คาดว่าการนำเข้าและส่งออกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนเป้าหมายด้านการจ้างงานของรัฐบาลจีนในปีนี้ได้แก่ การจ้างงานใหม่ในเขตเมืองประมาณ 12 ล้านตำแหน่ง ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลจีนส่งเสริมภาคผู้บริโภคซึ่งเป็นแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่การขยายตัวของการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนโดยรัฐบาลนั้น มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง

“การฟื้นตัวของการบริโภคมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะหนุนนำการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน” เบิร์ต ฮอฟแมน อดีตผู้อำนวยการประจำประเทศจีนของธนาคารโลกกล่าว “ขณะที่การลงทุนทางธุรกิจอาจยังไม่แน่นอน จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรการที่แข็งแกร่งในการสนับสนุนภาคเอกชน”

ด้านงบประมาณของจีนที่มีการเผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ (5 มี.ค.) บ่งชี้ว่า รัฐบาลจีนชะลอการสนับสนุนด้านการคลัง ขณะที่เพิ่มเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณเป็น 3% ของ GDP สำหรับปีนี้ จาก 2.8% ในปีที่แล้ว

ในส่วนของรัฐบาลท้องถิ่นจีนนั้นก็มีแนวโน้มที่จะปรับลดการลงทุนครั้งใหญ่ด้วย โดยได้โควตาน้อยลงในการออกพันธบัตรพิเศษเพื่อนำรายได้ส่วนใหญ่ไปใช้ในการสนับสนุนด้านการเงินสำหรับโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ

ไอริส ปัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่ม Greater China จากไอเอ็นจี แบงก์กล่าวว่า หากการขยายตัวด้านโครงสร้างพื้นฐานในจีนชะลอลง ก็อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เหล็กและปูนซีเมนต์ในประเทศอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากจีนอาจนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ลดน้อยลง

จีนโฟกัสด้านความมั่นคงแห่งชาติ

นายหลี่ได้เน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของจีนไปให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติ, การพึ่งพาตนเองทางด้านเทคโนโลยี และเสถียรภาพทางการเงิน โดยนายหลี่ได้เรียกร้องให้มีการดำเนินนโยบายที่สามารถสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาและความมั่นคงของประเทศ

นายหลี่กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความมั่นคงนั้น จีนจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมขึ้น 7.2% ในปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 4 ปี สู่ระดับ 1.55 ล้านล้านหยวน หรือราว 2.25 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มงบประมาณด้านการทหารในอัตราที่สูงกว่าเป้าหมายการเติบโตของ GDP ในปีนี้ที่ 5% และจีนยังตั้งเป้าที่จะทำการรวมชาติอย่างสันติกับไต้หวันด้วย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อปรับปรุงการป้องกันประเทศให้ทันสมัย โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนกองทัพขนาดมหึมาให้กลายเป็นกองกำลังระดับโลกทัดเทียมกับสหรัฐและชาติมหาอำนาจตะวันตกอื่น ๆ

นอกจากนี้ นายหลี่ระบุว่า รัฐบาลจีนยังให้ความสำคัญในด้านนโยบายวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม โดยบรรดาเจ้าหน้าที่จีนมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมธุรกิจต่าง ๆ ให้มีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีหลัก ๆ เพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตนเองและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ซึ่งประเด็นดังกล่าวนับเป็นเรื่องเร่งด่วนในจีน หลังจากสหรัฐสั่งกำหนดมาตรการคว่ำบาตรธุรกิจไมโครชิปของจีนในปีที่ผ่านมา

นายหลุยส์ คูจส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเอสแอนด์พี โกลบอล เรตติ้งส์แสดงความเห็นว่า จีนยังมีเป้าหมายอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาด้วย เช่น ด้านเสถียรภาพการเงินและการพัฒนา

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางจีน (PBOC) ให้คำมั่นว่าจะระงับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากเกินไป ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า PBOC จะไม่มีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกในปีนี้

จีนยังคุมเข้มตลาดอสังหาฯ หวังสกัดการขยายตัวไร้ระเบียบ

ในด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนซึ่งช่วยขับเคลื่อน GDP จีนมากถึง 20% นั้น นายหลี่บ่งชี้ว่า จีนจะยังคงสนับสนุนตลาดที่อยู่อาศัยต่อไป ขณะเดียวกันก็จะควบคุมภาคส่วนนี้อย่างเข้มงวดมากขึ้นด้วย โดยระบุว่า รัฐบาลจีนต้องการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างไร้การควบคุม

นอกจากนี้ นายหลี่ยังยืนยันว่า รัฐบาลจีนจะสนับสนุนธุรกิจภาคเอกชน ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และเพิ่มความคาดหวังและความเชื่อมั่นของตลาด ซึ่งนับเป็นคำมั่นสัญญาที่อาจจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนหลังจากที่ความเชื่อมั่นร่วงลงในปีที่แล้ว เพราะการล็อกดาวน์หลายครั้งเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 รวมไปถึงผลกระทบจากการปราบปรามด้านกฎระเบียบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในภาคธุรกิจต่าง ๆ เช่น การศึกษา แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต และอสังหาริมทรัพย์

นายหลี่เปิดเผยรายงานต่อ NPC แต่แทบไม่ได้เสนอรายละเอียดว่า จีนจะรับมืออย่างไรกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดที่จีนและโลกจะต้องเผชิญในปีนี้ เช่น โรคระบาดและการที่รัสเซียรุกรานยูเครน

“ในฐานะประเทศขนาดใหญ่ที่มีความรับผิดชอบนั้น จีนมีบทบาทสำคัญและสร้างสรรค์ในการยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับโรคโควิด-19 รวมทั้งจะจัดการกับความท้าทายระดับโลกและประเด็นที่ร้อนแรงในระดับภูมิภาคด้วย” นายหลี่กล่าวโดยไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดของประเด็นเหล่านั้น

ทั้งนี้ เราต่างตระหนักดีว่า ความเคลื่อนไหวของจีนในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจนั้นย่อมจะสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก เพราะจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ โลกต่างหวังพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศไทยซึ่งมีจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ ไทยยังหวังได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับภาคการท่องเที่ยวของไทย เราก็คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้เกินเป้าหรือไม่ หากเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่ง นั่นก็หมายถึงรายได้จากการค้าและการท่องเที่ยวที่ไทยจะได้รับมากขึ้นตามไปด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 มี.ค. 66)

Tags: , , , , ,
Back to Top