นักวิชาการเตือนอย่าหลงดีใจศก.ไทยฟื้นหลังตัวเลขส่งออกส่งสัญญาณลบ แนะเร่งปูฐานเทคโนฯ-พัฒนาคน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า อย่าเพิ่งดีใจกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะมีสัญญาณไม่สู้ดีนักจากตัวเลขการส่งออกที่หดตัวลงมากแม้นรายได้ท่องเที่ยวดีขึ้นก็ตาม การชะลอตัวลงของภาคส่งออกไม่ได้เพียงสะท้อนปัญหาการชะลอตัวลงของประเทศคู่ค้า แต่สะท้อนว่า สินค้าส่งออกไทยขาดเทคโนโลยีและนวัตกรรมในสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วงที่ผ่านมาการเติบโตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงเป็นเพียงเปลือกนอก หรือ การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยทรัพยากร (Resource driven growth) ขาดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายในภาคการผลิตและภาคบริการ

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหรือการเติบโตจึงเป็นเพียงมายา ความรุ่งเรืองรอบใหม่เช่นในทศวรรษ 2530 และ ครึ่งหลังของทศวรรษ 2540 อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของปัจจัยทุนและแรงงานยากจะเกิดขึ้นได้อีก หากไม่ทำให้เกิดผลิตภาพ (Productivity) ที่สูงขึ้นจากเทคโนโลยีและนวัตกรรม

รัฐบาลไทยและภาคเอกชนไทยให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์น้อยเกินไป แต่กลับพึ่งพาเทคโนโลยีการนำเข้าไม่มีการส่งออกสินค้าที่ใช้ทักษะแรงงานฝีมือชั้นสูงมากนัก ภาคส่งออกจึงมีความอ่อนไหวไปตามความผันผวนของค่าบาทและตลาดโลกสูง โครงสร้างทางการเงินของภาคครัวเรือน ภาคเอกชน ภาครัฐ มีสัดส่วนของหนี้ต่อทุนและรายได้ในระดับสูง มีความเปราะบางในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ อัตราส่วนทุนต่อผลิตผลเพิ่ม (Incremental Capital Output; ICOR) สูงเกินไปเช่นเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติปี 2540 ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพของการลงทุนอยู่ในระดับต่ำถึงต่ำมาก เช่น ICOR เท่ากับ 3.5 หมายความว่า ประเทศลงทุน 3 หน่วยจะส่งผลให้ผลิตผลเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ การทุ่มเงินลงทุนจำนวนมากทั้งระบบราง ระบบทางด่วนและถนนซ้ำซ้อนกันมากมายไปยังพื้นที่ EEC ซึ่งระบบขนส่งเหล่านี้ก็แข่งขันกันเอง อาจเกิดปัญหาความยั่งยืนทางการเงินและไม่เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และมี

อัตราส่วนทุนต่อผลิตผลเพิ่ม หรือ ICOR สูง

งบประมาณมหาศาลที่ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบรางมีการกระจุกตัวในบางพื้นที่เกินความพอดี ระบบรางกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ แต่จังหวัดใหญ่ๆในภูมิภาคแทบไม่มีระบบขนส่งมวลชนระบบราง การลงทุนส่วนหนึ่งควรถูกเกลี่ยมาลงทุนทางด้านการศึกษา วิจัยพัฒนานวัตกรรม และ ระบบชลประทาน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการลงทุนของภาครัฐดีขึ้นและส่งผลดีระยะยาวมากกว่า

ส่วนเรื่องการเก็บภาษีขายหุ้น หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลนี้ คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทรโอชา สั่งให้ระงับเพราะเกรงเสียคะแนนนิยมในหมู่นักลงทุนในตลาดหุ้นและธุรกิจหลักทรัพย์แต่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้จากภาษีการขายหุ้นไปไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000 ล้านบาท ทำให้แผนการหารายได้ของกระทรวงการคลังสะดุด เพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์ได้เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization)เพิ่มขึ้นถึง 22 เท่าจาก 30 ปีก่อน

ภาครัฐจึงไม่มีความจำเป็นใดๆในทางนโยบายเพื่อพัฒนาตลาดทุนด้วยการไม่เก็บภาษีอีกต่อไป การจัดเก็บภาษีขายหุ้นนอกจากเป็นแหล่งรายได้ของรัฐแล้วยังเป็นสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีอีกด้วย เพราะการเสียภาษีในรูปภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น ปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจประกัน
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ก็ต้องเสียทั้งหมดไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด และภาษีขายหุ้นก็ได้รับการยกเว้นมา 30 ปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม หากต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การเก็บภาษีในตลาดทุนควรเป็นการเก็บภาษีเพิ่มในลักษณะการจัดเก็บภาษีจากกำไรการขายหุ้น (Capital Gain Tax) น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมการขาย (Financial Transaction Tax)

แม้นว่า การจัดเก็บภาษีจากกำไรการขายหุ้นอาจมีความยุ่งยากในการจัดเก็บและต้นทุนในการจัดเก็บสูงกว่าบ้างก็ตาม

นายอนุสรณ์ แสดงความห่วงใยว่า กฎหมายทางการเงินและการคลังหลายฉบับจะถูกแช่แข็งยาวจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ ต้องรอให้คณะรัฐมนตรีใหม่มายืนยันร่างกฎหมายแล้วจึงเสนอเข้าพิจารณาในรัฐสภาอีกครั้งหนึ่งอาจทำให้รัฐบาลขาดแหล่งรายได้สำคัญรวมทั้งแนวทางการกำกับสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้อาจส่งผลต่อการที่ประเทศไทยอาจถูกขึ้นบัญชีดำหรือแบล็กลิสต์กรณีไม่สามารถผ่านกฎหมายแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างประเทศของกรมสรรพากรมาบังคับใช้ในปีนี้ กฎหมายทางการเงินการคลังหลายฉบับไม่สามารถผ่านรัฐสภามาบังคบใช้กฎหมายได้ทันทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการปฏิรูปตลาดทุนและตลาดเงิน กฎหมายทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน กฎหมายประกันชีวิต กฎหมายการกำกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยนั้นเป็นสมาชิกของ Global Forum on Transparency and Exchange of Information for Tax Purpose เพื่อส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and development : OECD)เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของไทยที่พร้อมจะร่วมมือกับ OECD ในการป้องกันการหลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงภาษีและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีเป็นไปตามมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ

การไม่สามารถผ่านกฎหมายแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างประเทศได้ตามกรอบเวลาปีนี้ ไม่เป็นผลดีต่อไทยในหลักการของตัวกฎหมายจะมีทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบร้องขอเพื่อสกัดการหลบเลี่ยงภาษี และข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติเพื่อสกัดการฟอกเงิน

การไม่สามารถผ่านกฎหมายได้ตามกรอบเวลาเนื่องจากรัฐสภาไม่สามารถจัดการประชุมได้ตามเป้าหมายและอาจมีการยุบสภาเร็วๆนี้

จะทำให้ธุรกรรมหลีกเลี่ยงภาษีผ่านการทำธุรกรรมการเงินและการลงทุนระหว่างประเทศเกิดขึ้นต่อไป โดยเฉพาะการทำธุรกรรมทางธุรกิจอยู่ในรูปออนไลน์และในรูปดิจิทัล

การไม่มีฐานข้อมูลเพียงพอทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารนโยบายภาษีและการจัดเก็บภาษีให้ถูกต้องและเป็นธรรมได้ อาจมีการเก็บภาษีซ้ำซ้อน หรือ หลบเลี่ยงภาษีได้

นอกจากนี้อาจเกิดธุรกรรมหลบเลี่ยงภาษีและเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินได้ การถูกขึ้นบัญชีดำ ในระยะสั้นอาจส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมระหว่างประเทศจะมีขั้นตอนยุ่งยากขึ้นตั้งแต่การพิสูจน์ทราบลูกค้า (Customer Due Diligence-CDD) หรือ ธุรกรรมบางอย่างอาจถูกระงับการใช้หากมีข้อมูลไม่สมบูรณ์ทำให้กระทบการต่อความลื่นไหลของการค้าการลงทุนและการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศได้ ทำให้ต้องใช้เวลาในการทำธุรกรรมมากขึ้น เอกสารเพิ่มมากขึ้น ต้องใช้เวลาในการทำธุรกรรมต่างๆเพิ่มขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 มี.ค. 66)

Tags: ,
Back to Top