พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) แถลงนโยบาย เรื่อง “จากสิ่งแวดล้อมไทย สู่สิ่งแวดล้อมโลก : ความมั่งคั่ง โอกาส และคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคน” โดยใช้เรื่อง “สิ่งแวดล้อม” เป็นจุดขายในการเลือกตั้งที่สามารถทำได้จริง และทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำในเวทีโลก ถึงแม้จะไม่ได้ลด แลก แจก แถม เหมือนพรรคการเมืองอื่น ๆ แต่ทุกนโยบายจะเน้นการสร้างความยั่งยืน สร้างสวัสดิการ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลูกหลานของคนไทยในอนาคต
นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่า นโยบาย “ว้าว ไทยแลนด์” (WOW Thailand) มาจากคำว่า W = Wealth ความมั่งคั่ง O = Opportunity โอกาส และ W = Welfare For All คุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคน ซึ่งการกำหนดเป้าหมาย Sustainable country for all GENs สร้างประเทศที่ยั่งยืน เพื่อลูกหลานไทย ซึ่งเป็น Global Vision ของพรรค มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน The Sustainable Development Goals (SDG) ทั้ง 17 ข้อของสมัชชาสหประชาชาติที่เป็นกรอบการพัฒนาโลกในอนาคตที่จะทำให้สำเร็จร่วมกันในปี 2573 รวมถึงการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Net Zero ในปี 2593 ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นไว้ในเวทีการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อปี 2564 และในการประชุม COP27 ที่เมืองชาร์ม เอล ชีค ประเทศอียิปต์ เมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา
หัวหน้าพรรค ชทพ. กล่าวว่า นโยบาย “ว้าว ไทยแลนด์” ทุกนโยบายมาจากการทำงานของรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกพรรคทุกคน ที่ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อน และความต้องการของคนไทยทุกจังหวัดทั่วประเทศ จนเกิดเป็นนโยบายที่ทำได้จริง และทำกันมาแล้ว โดยเฉพาะ 10 นโยบายที่เปิดออกมา
“ถึงจะไม่ได้ลด แลก แจก แถม เหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ แต่ทุกนโยบายจะเน้นการสร้างความยั่งยืน สร้างสวัสดิการ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลูกหลานของคนไทยในอนาคต โดยเชื่อว่าถ้าทุกคนร่วมมือกัน ทุกอย่างก็สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้” นายวราวุธ กล่าว
ด้านนายกนก วงษ์ตระหง่าน กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค กล่าวว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยในปี 2562 มีปริมาณ 372 ตัน มีการดูดซับสุทธิ 92 ล้านตัน ทำให้การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิอยู่ที่ 280 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 56.8 ล้านตัน หรือ 15% มาจากภาคการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 28.7 ล้านตัน หรือ 50% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคการเกษตร
แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายของพรรค ชทพ.จึงมีแนวคิดที่จะเร่งขยายการตรวจวัด Carbon Net ที่ได้มาตรฐาน รวดเร็ว แม่นยำ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศ และกำหนดตำแหน่งของแปลงการเกษตร ตรวจวัดอายุรายแปลงให้ได้มาตรฐานในกลุ่มพืชเศรษฐกิจ ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว ไม้ผลยืนต้น ป่าไม้ สวนป่า ป่าเสื่อมโทรม ป่าฟื้นตัว และคาร์บอนในดิน และนำเสนอแนวทางการบริหารจัดการไฟป่าอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างแบบจำลองจุดที่เกิดไฟป่าซ้ำซาก เพื่อกำหนดมาตรฐานการป้องกัน การพัฒนาแนวทางบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตจากไฟป่า โดยให้ประชาชน ชุมชน มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา และได้รับประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ซึ่งหากทำได้จะช่วยลดปัญหาวิกฤติฝุ่น PM 2.5 ได้
นอกจากนี้ จะต้องสร้างศูนย์ความเป็นเลิศ หรือ Excellence Center ด้านคาร์บอนเครดิต ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อการวัดประเมิน และยกระดับมาตรฐาน Carbon Net ผ่านการถ่ายทอดและร่วมมือทางวิชาการ และการปฏิบัติภาคสนามกับประเทศในภูมิภาค การทำแผนวิจัยและพัฒนาด้านคาร์บอนเครดิต เพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม และสร้างความยั่งยืน ไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย และ แก้ไขกฎเกณฑ์การใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อการกีดกันทางการค้า และสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา
ขณะที่นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคฯ กล่าวว่า สถานีตรวจวัดก๊าซเรือนกระจก หรือ สถานีตรวจวัดจุลอุตุนิยมวิทยา ที่มีข้อมูลรายละเอียดพื้นที่และความเป็นเจ้าของคาร์บอนเครดิตของแต่ละบุคคล สามารถนำข้อมูลเบื้องต้นมาสร้างเป็น Carbon credit token และใช้ Blockchain technology ในการเก็บข้อมูลอย่างแม่นยำและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และใช้เป็นสินทรัพย์ในการซื้อขาย ซึ่งมูลค่าจะขึ้นอยู่กับมาตรการอันเป็นที่ยอมรับในสากล
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 มี.ค. 66)
Tags: ความยั่งยืน, คาร์บอนเครดิต, ชทพ., พรรคชาติไทยพัฒนา, วราวุธ ศิลปอาชา, สิ่งแวดล้อม, เลือกตั้ง