ต่างชาติยังคงถล่มขายหุ้นไทยต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) นักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิรวมแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท และหากนับจากปลายเดือน ม.ค.จนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากต่างชาติซื้อสุทธิมาเป็นขายสุทธิหุ้นไทย พบว่ามีมูลค่าการขายสูงถึง 3 หมื่นล้านบาทมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
ปัจจัยกดดันมาจากทั้งเรื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) เร่งตัวขึ้น เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยก็ออกมาต่ำกว่าคาดด้วย
หากมาดูหุ้นที่ถูกต่างชาติขายออกมามากที่สุด 10 อันดับ จากการสำรวจข้อมูลใน SETSMART โดยได้มีการจัดอันดับมูลค่าขาย NVDR สุทธิ ในรอบ 1 เดือน พบว่า
อันดับสูงสุด คือ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) มีมูลค่าปริมาณการขายสุทธิที่ 3,665 ล้านบาท
2.บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) มีมูลค่าปริมาณการขายสุทธิที่ 2,084 ล้านบาท
3.บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีปริมาณการขายสุทธิ 1,839 ล้านบาท
4.บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT) มีปริมาณการขายสุทธิ 1,684 ล้านบาท
5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร(KKP) มีปริมาณการขายสุทธิ 1,543 ล้านบาท
6.บมจ.ปตท.(PTT) มีปริมาณการขายสุทธิ 1,038 ล้านบาท
7.บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) มีปริมาณการขายสุทธิ 881 ล้านบาท
8.บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) มีปริมาณการขายสุทธิ 783 ล้านบาท
9.บมจ.ไทยออยล์ (TOP) มีปริมาณการขายสุทธิ 730 ล้านบาท
10.บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) มีปริมาณการขายสุทธิ 705 ล้านบาท
FundFlow พลิกเป็นบวกกลางมี.ค.หนุน SET ดีดขึ้นมทะลุ 1,700 จุด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวกับ”อินโฟเควสท์” ว่า ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยน่าจะเป็นแค่ภาพระยะสั้น โดยขายออกในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และพลังงานมากที่สุด เนื่องจากผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าคาด และกลุ่มแบงก์ยังมีการตั้งสำรองหนี้เผื่อสงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มพลังงาน ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงผลประกอบการที่ออกมาขาดทุนด้วย
อย่างไรก็ตาม เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) คาดว่าจะไหลกลับมาอีกครั้งในช่วงกลางเดือนมี.ค.นี้ หลังมีความชัดเจนในเรื่องของทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 21-22 มี.ค.66 ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเงินทุนไหลเข้า อีกทั้งคาดว่าจะมีการประกาศยุบสภาในเดือน มี.ค.นี้เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งในเดือนพ.ค.66
หาก Fund Flow กลับมาตามคาดหวัง มองจะเป็นบวกอย่างมากต่อ SET Index ให้ปรับตัวขึ้นทะลุ 1,700 จุด ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจากนักลงทุนรับรู้ปัจจัยลบผลประกอบการที่ออกมาไม่ค่อยดีนักไปพอสมควรแล้ว และน่าจะมองไปข้างหน้า โดยคาดว่าผลประกอบการกลุ่มพลังงานน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และน่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นได้ และยังมีเรื่องของการเลือกตั้งรออยู่
พร้อมกันนี้แม้ว่าจะมีปัจจัยหนุนในดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นทะลุ 1,700 จุด แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีปัจจัยกดดันรอดูเช่นกัน นั่นคือ ผลการเลือกตั้ง และกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกมาในรูปแบบไหน รวมถึงเรื่องของการเก็บภาษีขายหุ้น
สำหรับหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จาก Fund Flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย ได้แก่
1.บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 76 บาท/หุ้น
2.บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ราคาเป้าหมาย 47 บาท/หุ้น
3.บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ราคาเป้าหมาย 38 บาท/ หุ้น
4.บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ราคาเป้าหมาย 235 บาท/หุ้น
5.บมจ.บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) ราคาเป้าหมาย 136 บาท/หุ้น
6.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ราคาเป้าหมาย 175 บาท/หุ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.พ. 66)
Tags: ZoomIn, นักลงทุนต่างชาติ, หุ้น, หุ้นไทย