นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดเผยว่าแผนการดำเนินธุรกิจในปี 66 เดินตามยุทธศาสตร์ “365 Degree Collaboration” ตั้งเป้าเป็นปีแห่งการก้าวสู่ความเป็น Blue Chip Stock ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน
โดยวางเป้าการเติบโตของ Gross Profit Margin ในปี 66 เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อน เน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็น Non Freight และมีกำไรขั้นต้นมากกว่า 40-45% เช่น Self Storage,Container Depot, Warehouse & Logistics Center และ Cold Chain Logistics โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อพัฒนาโครงการ ใหม่ๆ ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากบริษัท JV ใหม่ที่เกิดขึ้นและการขยายงานของทางบริษัทเองก็จะทำให้รายได้ของธุรกิจ Non-Freight ของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
บริษัทยังคงเดินหน้าเรื่องการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ (M&A) กับพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกหลายประเทศ เช่น กัมพูชา เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และจีน คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2/66 และสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 3-4/66 ซึ่งการ M&A หลายๆ โครงการนี้ จะสนับสนุนการเติบโตทั้งในด้านธุรกิจและรายได้อย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ใหม่ๆที่เกิดจากธุรกิจ JV ใหม่ๆและ M&A ทั้งหมดนี้ประมาณ 300-700 ล้านบาทในอีก 1-3 ปีข้างหน้า
รวมทั้งบริษัทยังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น Non Logistics โดยจะทำการต่อยอดธุรกิจกัญชงและกัญชาที่ได้มีการลงนาม MOU กับทางวิสาหกิจชุนชนสุขฤทัย และบริษัท แคนบิซ จำกัด ให้สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นธุรกิจใหม่และสร้างรายได้ให้กับทางบริษัทฯในอนาคตอันใกล้
รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการเป็นตัวแทนในการซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพื่อส่งให้ E-commerce Platform ของ China Post และ Tengjin ภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสินค้าที่เป็นทุเรียนและผลไม้อื่นๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทฯเชื่อว่าธุรกิจ Non Freight และ Non Logistics ใหม่ทั้งหมดนี้ จะสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า และมีกำไรขั้นต้นในระดับสูง ซึ่งจะสามารถมาทดแทนรายได้ค่าระวางเรือที่เริ่มปรับตัวลดลงตามแนวโน้มอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ในปี 66 บริษัทมีความพร้อมในการพัฒนาและทำการตลาดการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างไทย-จีน แบบ End-to-End กับทาง China Post ที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของทางการรถไฟจีนในการทำการตลาดการขนส่งทางรางไทย-จีน และบริษัทฯก็ยังได้มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับทาง บริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส จำกัด เพื่อร่วมทำการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างจีนมายังไทย และไทยไปจีน รวมถึงการใช้ไทยเป็น Logistics Hub ในการส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศเอเชียใต้ หรือกลุ่มประเทศ Bimstec ซึ่งมีปริมาณสินค้ามากกว่า 100,000 ตันต่อปี
ปัจจุบันบริษัทฯกำลังทำการศึกษาที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อลงทุนในระบบการขนส่งสินค้า Cold Chain ไปยังจีนทางรถไฟ เพื่อรองรับการส่งออกสินค้าผลไม้จากไทยไปจีนทางบกที่มีปริมาณสูงถึง 420,000 ตันต่อปี และมีมูลค่าส่งออกมากกว่า 3.3 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ในฤดูกาลส่งออกผลไม้ของปีนี้ LEO มีความพร้อมที่สุดในแง่ของเครือข่ายการขนส่งทางรถไฟในประเทศจีน ลาว และไทย รวมถึงการมีเครือข่ายตัวแทนในแต่ละประเทศ เพื่อประสานงานและดูแลงานให้กับลูกค้าของบริษัทฯด้วยโครงสร้างราคาที่ดีกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ
อีกทั้ง LEO ในปี 66 บริษัทฯมีแผนที่จะร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจการขนส่งทางบกที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อให้บริการการขนส่งในลักษณะของ Green Logistics ที่จะให้บริการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืน (Sustainability) โดยใช้รถพลังงานไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission) โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้สามารถลดภาวะโลกร้อนและเปลี่ยนให้เป็น Carbon Credit ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการของบริษัทฯ
“บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 66 LEO จะยังคงรักษาระดับการเติบโตของกำไรขั้นต้นและผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางไปยังประเทศจีนนับตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/2566 รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้ และกำไรจากโครงการ JV ใหม่ๆที่เป็น Non Freight และ M&A ที่จะเกิดขึ้นในปี 66 ซึ่งจะทำให้รายได้ กำไรขั้นต้นและผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง” นายเกตติวิทย์ กล่าว
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานปี 65 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ(ส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่) อยู่ที่ 304.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 198.8 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิทำสถิติ New High ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 62 และเป็นปีที่ 5 หากนับต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 60
บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,495.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 3,369.7 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 19% ปัจจัยสนับสนุนมาจากความสามารถในการสร้างรายได้ และบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่ได้ปรับแผนการตลาดและการขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์การตลาดและการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
“แม้ว่ารายได้รวมในไตรมาส 4/65 จะลดลงจากไตรมาส 3/65 เนื่องจากสถานการณ์ค่าระวางทางเรือที่ปรับตัวลดลงทั่วโลก แต่บริษัทก็ยังมีความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ และสามารถรักษาระดับอัตราการทำกำไรขั้นต้นไว้ได้ในระดับที่ดี โดยล่าสุดมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 26% จากงวดไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 23% “
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ก.พ. 66)
Tags: LEO, ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์, หุ้นไทย, เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์