PREB พุ่งเป้าอัพไซด์ธุรกิจอสังหาฯดันมาร์จิ้นส่องจังหวะดึงพันธมิตรร่วมทุนขึ้นคอนโดเร่งโต

นายวิโรจน์ เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรีบิลท์ (PREB) เปิดเผยว่า บริษัทมองช่วง 3 ปีข้างหน้าจะผลักดันสัดส่วนกำไรจาก บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ เพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับกำไรจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นธุรกิจหลัก หรืออยู่ในสัดส่วน 50:50

ปัจจุบันกำไรส่วนใหญ่ยังมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างตามการรับรู้รายได้งานในมือที่ทำสัดส่วนรายได้ราว 80% และสัดส่วนรายได้จาก พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ อยู่ที่ราว 20% แต่เมื่อมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นในอนาคตจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นตามมา ขณะที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้มาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

บริษัทยังมองตลาดบ้านแนวราบยังมีความต้องการซื้อสูง และเปึนกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง จึงไม่เจอปัญหายกเลิก ทิ้งใบจอง หรือกู้ไม่ผ่าน เหมือนกับคอนโดมิเนืยมที่ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อลงทุน ทำให้การพัฒนาโครงการแนวราบมั่นใจได้ในแงของการรับรู้รายได้แน่นอน แม้ว่าตลาดจะมีการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่บริษัทยังสามารถหาแนวทางพัฒนาบ้านที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดอยู่ พร้อมกับความมั่นใจด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพงานก่อสร้าง และบริการหลังการขายจากทีมช่างของพรีบิลท์ที่มีความรู้และมืออาชีพ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้ราว 1 พันล้านบาทเพื่อรองรับการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในกลุ่มแนวราบเป็นหลัก โดยสนใจทำเลกรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีความต้องการซื้ออยู่อาศัยเพิ่มขึ้น

ส่วนคอนโดมิเนียม บริษัทก็ยังรอโอกาสพัฒนาโครงการใหม่หากตลาดกลับมาชัดเจน เพราะคอนโดมิเนียมเป็นอีกกลุ่มสินค้าหนึ่งที่จะช่วยทำให้บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เติบโตมากขึ้นได้ โดยบริษัทมีที่ดินรอรองรับการพัฒนาคอนโดมิเนียมอยู่ 2 แปลง ได้แก่ ปากซอยสุขุมวิท 24 พื้นที่ 1.5 ไร่ ปัจจุบันปล่อยเช่าให้กับร้านอาหาร สามารถพัฒนาอาคารสูง 40 ชั้น มูลค่า 2.7-2.8 พันล้านบาท หากเดินหน้าพัฒนาโครงการก็จะกึเปิดโอกาสร่วมทุนกับนักลงทุนไทยหรือต่างชาติที่สนใจ และที่ดินในซอยสุขุมวิท 26 พื้นที่ 300 ตารางวา สามารถพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม Low rise 8 ชั้นได้ ซึ่งบริษัทมีแผนจะพัฒนาเอง มูลค่าโครงการราว 700 ล้านบาท

สำหรับทิศทางธุรกิจในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 66 สูงขึ้นเป็นกว่า 4 พันล้านบาท โดยมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกว่า 3 พันล้านบาท และธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 1.1 พันล้านบาท เติบโตขึ้นราว 20% จากปีก่อนที่คาดว่าจะทำรายได้ราว 3.5 พันล้านบาท

ด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี 66 จะรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) เข้ามากว่า 3 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 6 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องในปีถัดไป ซึ่งส่วนใหญ่งานที่บริษัทรับเข้ามาจะใช้ระยะเวลารับรู้รายได้ราว 2 ปี ขณะที่บริษัทองว่าในปี 66 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ทำให้เชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่างๆกลับมาดีขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนให้งานโครงการลงทุนต่างๆออกมามากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทได้มีการติดตามงานที่จะเข้าประมูลกว่า 1 หมื่นล้านบาท คาดหวังได้รับงานเข้ามาราว 30%

ในเร็วๆ นี้บริษัทอยู่ระหว่างรอการประกาศผลงานในช่วงต้นปีราว 4 งาน มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท คาดหวังจะได้รับงานเข้ามาเติม Backlog ไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งในแต่ละปีบริษัทมีเป้าหมายรักษาระดับ Backlog เพื่อรองรับรายได้ในอนาคตที่ 6-8 พันล้านบาท/ปี

นายวิโรจน์ ยอมรับว่า ปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อต้นทุนการก่อสร้าง คือ ค่าวัสดุก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น หลังจากปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วราว 10% แม้ว่าต้นทุนเหล็กเริ่มทรงตัวและนิ่งแล้ว แต่ราคาคอนกรีตยังคงปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20% ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวัสดุก่อสร้างหลักเช่นเดียวกับเหล็ก จึงอาจกดดันมาร์จิ้นบางส่วน

อีกทั้งมีความกังวลเรื่องของการปรับขึ้นค่าแรงที่อาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนก่อสร้าง แม้ว่าปัจจุบันจะได้ปรับขึ้นมาแล้วราว 10% แต่จากนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งทำให้กังวลว่าอาจมีกาปรับขึ้นอีก ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดำเนินการเรื่องนี้ก็ควรแจ้งให้กับผู้ประกอบการได้รับทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อม เพราะค่าแรงถือเป็นหนึ่งในต้นทุนที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะงานที่เซ็นสัญญาไปแล้ว

ด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในปี 66 ตั้งเป้ายอดขาย 1.3 พันล้านบาท และรายได้ 1.1 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 800 ล้านบาท โดยมี Backlog ราว 300 ล้านบาทที่จะรับรู้เข้ามาในปีนี้ทั้งหมด

พร้อมวางแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการแนวราบในปีนี้ มูลค่ารวม 1.5 พันล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว พิมนารา ศาลายา มูลค่า 550 ล้านบาท 77 ยูนิต ราคาขาย 5.5-7 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/66 และ พรรณนา ทวีวัฒนา มูลค่า 950 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวขนาด 100 ตารางวาขึ้นไป จำนวน 51 ยูนิต ราคาขาย 15-19 ล้านบาท เปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/66

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ก.พ. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top