ราคาบิทคอยน์ปี 2566 นับว่ายังคงทรงตัวอยู่ในขาขึ้น งานนี้ PlanB ผู้ทำนายราคาบิทคอยน์เจ้าเดิมกลับมาอีกครั้ง ด้วยเป้าหมายราคาใหม่ที่ 32,000 ดอลลาร์ ราคานี้บิทคอยน์จะสามารถทำได้หรือไม่?
ใครที่ติดตามราคาบิทคอยน์ น่าจะคุ้นชื่อ PlanB กันอยู่แล้ว เพราะเขาคือนักวิเคราะห์ราคาบิทคอยน์ ผู้คิดค้นโมเดลทำนายราคา Stock-to-Flow ที่มีคนติดตามใน Twitter กว่า 1,800,000 คน ปีนี้เขากลับมามาป้ายยาราคาบิทคอยน์แล้ว
โดย PlanB เขาได้ยอมรับว่า เขาพลาดในการทำนายราคาบิทคอยน์เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ที่ราคามันร่วงไปต่ำกว่า 16,000 ดอลลาร์ แต่เหตุนี้เองที่ PlanB เชื่อว่าจะทำให้ราคาบิทคอยน์มีการดีดตัวขึ้นสูงไปอีก โดยตอนนี้ราคาบิทคอยน์กำลังทำเป้าใหม่ที่ราคา 32,000 ดอลลาร์ ในช่วง Halving ปีหน้า และจะพุ่งทะลุ 100,000 ดอลลาร์ในปี 2025 และมีโอกาสแตะ 1 ล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2025 ฟังแล้วคิดว่าอย่างไรบ้าง ราคาที่ PlanB คาดการณ์มันเวอร์ไปรึเปล่า
ล่าสุดทาง “Recap” บริษัท Crypto Wealth Management เจ้าใหญ่ใน United Kingdom ก็ได้ออกบทวิเคราะห์ที่แสดงถึงเมืองที่มีความพร้อมต่อการเติบโตของบริษัท Start Up และอุตสาหกรรมคริปโทฯ โดยประเมินจาก 8 ปัจจัยหลัก ทั้ง คะแนนคุณภาพชีวิตในแต่ละเมือง, จำนวนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency, คนที่ทำงานทางด้านคริปโทฯ, บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับคริปโทฯ, การวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ลงทุนไปเมื่อเทียบกับ GDP, จำนวนตู้ Crypto ATM, การคำนวณภาษี และสัดส่วนการถือครองคริปโทฯในแต่ละประเทศ
จะพบว่า “ลอนดอน” ขึ้นแท่นเมืองอันดับหนึ่ง ที่มีความพร้อม เหมาะแก่การทำธุรกิจเกี่ยวกับคริปโทฯ เลย อย่างดูไบหรือนิวยอร์ก ก็ติดอันดับ 1 ใน 3 เช่นกัน แล้ว “ฮ่องกง” ที่ปีที่แล้วติดอันดับ 1 ปีนี้ก็ร่วงมาอยู่อันดับ 7 แล้ว
สำหรับประเทศไทยเรา “กรุงเทพ” ก็ติดอันดับ 10 เช่นกัน ถือเป็นข่าวดีที่ อุตสาหกรรมคริปโทฯ จะได้เติบโตขึ้นด้วย
หลายคนรู้จักบิทคอยน์กันดีอยู่แล้ว เหรียญ Cryptocurrency ที่มีคุณลักษณะโดดเด่น เหมาะแก่การใช้เป็นเงิน หรือตัวกลางในการแลกเปลี่ยนมาก ๆ แต่สาเหตุใดที่ทำให้บิทคอยน์ ถือว่าเป็นตัวอย่างของเงินที่ดี มันอยู่ที่คุณสมบัติ ของบิทคอยน์นั่นเอง
ตัวบิทคอยน์มีคุณสมบัติสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ 1) การกระจายอำนาจ บิทคอยน์มีการทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีการกระจายอำนาจในการจัดเก็บข้อมูลไปยังโหนด (Node) ต่าง ๆ ไม่สามารถควบคุมโดยใครหรือองค์กรใด องค์กรหนึ่งได้ ไม่เหมือนกับเงิน Fiat Currency ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่รัฐบาลเป็นคนพิมพ์แบงก์ธนบัตรขึ้นมา ซึ่งถ้ามากเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดให้เกิดเงินเฟ้อได้
2) บิทคอยน์มีอุปทาน (Supply) จำกัด เพราะถูกกำหนดไว้แล้วว่ามีเพียงแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น เพิ่มมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
3) พกพาสะดวก โอนง่าย เนื่องจากบิทคอยน์สามารถใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้งานก็สามารถทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ตได้ เวลาจะนำเงินติดตัวไปมาก ๆ หรือใช้เงินเยอะ ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพกไปให้หนักกระเป๋า เหมือนกันเงินสดหรือว่าทองคำอีกด้วย
4) การแบ่งหน่วยย่อย ตัวบิทคอยน์สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ด้วยจุดทศนิยม ตรงนี้ก็จะเหมือนกับเศษสตางค์ เวลาใช้งาน เราไม่จำเป็นต้องใช้เต็มหน่วย แบ่งเป็นหน่วยย่อยใช้ได้ แถมมูลค่าก็เยอะมากอีกด้วย
และประการสุดท้าย 5) ความปลอดภัย ผู้ที่จะทำธุรกรรมเกี่ยวกับบิทคอยน์ได้จะต้องมี Private Key เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ผสมกับตัวเลข ที่ยาวมาก ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ นึกภาพว่าเรามีบ้านที่มีกุญแจเพียงแค่ดอกเดียวเท่านั้นในโลก ถ้าเราไม่เปิดประตู ใครก็เข้ามาไม่ได้ แค่อย่าทำกุญแจหายก็พอ และคุณสมบัติเหล่านี้ที่ทำให้บิทคอยน์ ครองตำแหน่งเหรียญเจ้าตลาดคริปโทฯ มาตลอดนั่นเอง
แล้วทั้งหมดนี้คือ Crypto SHOT ข่าวสารวงการคริปโทฯ ที่ใครก็อยากรู้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.พ. 66)