PwC เผยผลสำรวจซีอีโอโลกล่าสุด พบเกือบ 70% ของซีอีโอในเอเชียแปซิฟิก เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตลดลงในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยภาวะเงินเฟ้อ ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นปัจจัยความกังวลที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด ขณะที่ซีอีโอเกินครึ่ง เชื่อว่าโมเดลการทำธุรกิจในปัจจุบัน จะไปไม่รอดในทศวรรษหน้า หากไม่มีแผนเปลี่ยนแปลงองค์กร
ทั้งนี้ ผลสำรวจซีอีโอทั่วโลกประจำปี ครั้งที่ 26 ฉบับเอเชียแปซิฟิก : ก้าวนำในโลกแห่งความเป็นจริงใหม่ (26th Annual Global CEO Survey – Asia Pacific: Leading in the new reality) ของ PwC ทำการสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จำนวน 1,634 ราย ซึ่งเผยให้เห็นถึงข้อมูลที่โดดเด่น 2 ประการ ที่กำลังท้าทายซีอีโอในภูมิภาค คือ
– 69% ของซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เชื่อว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะลดลงในอีก 12 เดือนข้างหน้า เปรียบเทียบกับปีก่อนที่ 76% เชื่อว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้น
– 53% ของซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เชื่อว่าบริษัทของพวกเขาจะไม่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในทศวรรษข้างหน้า หากยังคงดำเนินการเฉกเช่นปัจจุบัน (มากกว่าซีอีโอทั่วโลก 14%)
นายเรย์มอนด์ ชาว ประธาน PwC ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ด้วยดิสรัปชันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ซีอีโอในภูมิภาคกำลังเผชิญกับความเป็นจริงใหม่ ซึ่งการจะจัดการกับ 2 ความท้าทายสำคัญนี้ ให้ไปสู่ความสำเร็จได้นั้น ผู้นำธุรกิจจำเป็นจะต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่เกี่ยวกับการสร้างคุณค่า สร้างพลังของวัฒนธรรมที่แตกต่าง และทำงานร่วมกันในระดับที่กว้างกว่าและลึกซึ้งกว่าที่เคยเป็น
“ช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว ความเชื่อมั่นของซีอีโอในเอเชียแปซิฟิก แตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี แต่แค่เพียง 1 ปีต่อมา พบว่าความเชื่อมั่นนี้ได้กลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง” นายเรย์มอนด์ ชาว ระบุ
ทั้งนี้ แม้ความเชื่อมั่นของซีอีโอต่อเศรษฐกิจโลกจะลดลง แต่ซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังคงมีมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับโอกาสของประเทศตนเอง น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับซีอีโอทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีอีโอในประเทศขนาดใหญ่กว่า แสดงมุมมองเชิงบวกในระดับสูงสุดต่อการเติบโตภายในประเทศ นำโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน (64%) อินเดีย (57%) และอินโดนีเซีย (50%) (เปรียบเทียบกับทั่วโลกที่ 29%)
“การให้ความสำคัญต่อผลประโยชน์ของประเทศที่เพิ่มขึ้น มากกว่าผลประโยชน์ของโลก แสดงให้เห็นถึงการเร่งตัวของแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานของภูมิภาค ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการเปิดเสรีทางการค้า และการเปิดรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ”
ในขณะที่ความเสี่ยงด้านสุขภาพและไซเบอร์ เป็นปัจจัยความกังวลในอันดับต้น ๆ ในปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ถือเป็นสิ่งที่ซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแสดงความกังวลมากที่สุดในปีนี้ โดยเงินเฟ้อ (41%) และความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค (30%) ถือเป็นความเสี่ยงที่ผู้บริหารรู้สึกกังวลทั้งในระยะสั้น (เช่น 12 เดือนข้างหน้า) และระยะกลาง (เช่น มากกว่า 5 ปีข้างหน้า)
ทั้งนี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (30%) ยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยความเสี่ยงอันดับต้น ๆ เพราะสงครามในยูเครนและความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ส่งผลให้ซีอีโอในเอเชียแปซิฟิกมีการทบทวนรูปแบบของการทำธุรกิจใหม่ โดยพวกเขามีแผนที่จะปรับการดำเนินธุรกิจของตนเองในตลาดปัจจุบัน และ/หรือขยายไปสู่ตลาดใหม่ (53%), ปรับห่วงโซ่อุปทาน (49%) และกระจายข้อเสนอทางธุรกิจ (48%)
ตรงกันข้ามกับซีอีโอทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และข้อมูลส่วนตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโฟกัสไปที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะสั้นมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงาน และการสร้างกระแสเงินสดทันที ในขณะที่มองการสร้างมูลค่าและความยั่งยืนเป็นปัจจัยระยะกลางถึงระยะยาว
ด้านนายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ในส่วนของประเทศไทย ซีอีโอส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นไปในทิศทางเดียวกันกับซีอีโอในเอเชียแปซิฟิกว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตลดลง เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ผลกระทบจากสงคราม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน ล้วนสร้างแรงกดดันต่อการทำธุรกิจ
ทั้งนี้ แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัว และมีการคาดการณ์กันว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยมากกว่า 20 ล้านคนก็ตาม แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้า และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และการแข่งขันของหลาย ๆ อุตสาหกรรม
สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนในปีนี้ น่าจะเห็นผู้บริหารหันมาแสวงหาโอกาสในการสร้างคุณค่าจากการหาพันธมิตร หรือการควบรวมกิจการ เพื่อขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศที่ไม่ใช่ตลาดหลักมากขึ้น รวมไปถึงขยายผลิตภัณฑ์ และปรับกลยุทธ์การจัดหาใหม่ ที่มุ่งเน้นความสามารถในฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมาโดยเร็ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ม.ค. 66)
Tags: PwC, ผลสำรวจ, เศรษฐกิจโลก, เอเชียแปซิฟิก