นักวิชาการแนะปรับโครงสร้างงบปี 67 มุ่งยกระดับการแข่งขัน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณปี 2567 จำนวน 3.35 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.18% จากวงเงินงบประมาณปี 2566 นั้นมีความเหมาะสมในแง่ขนาดของงบประมาณ สัดส่วนของงบประมาณต่อจีดีพีอยู่ที่ 17.8% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง มีการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว การขยายตัวของภาคการลงทุนและการบริโภคเอกชน การผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมโดยภาพรวมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ความจำเป็นในการอาศัยงบประมาณภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นน้อยลง

สิ่งที่ต้องทำหลังได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง คือ การปรับโครงสร้างงบประมาณปี 2567 ใหม่ โดยลดรายจ่ายประจำลงมาไม่ให้เกิน 70% ด้วยการลดขนาดของหน่วยงานราชการแต่เพิ่มค่าตอบแทนให้สูงขึ้น โดยเปลี่ยนแปลงให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลมากขึ้น ใช้ระบบบริการอัตโนมัติมากขึ้น พัฒนาให้เป็น eGovernment มากขึ้น และเพิ่มงบลงทุนอีก 5-10% จากระดับ 690,000 ล้านบาทจากการจัดสรรโดยรัฐบาลชุดนี้ โดยนำเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 69,000 ล้านบาท ลงทุนเพิ่มเติมในการยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ การลงทุนนวัตกรรม และการลงทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์ผ่านระบบการศึกษา ระบบส่งเสริมสุขภาพและสวัสดิการเด็กเล็ก เพิ่มชำระคืนเงินต้นจากสัดส่วน 3.5% เป็น 5%

นอกจากนี้ต้องลดระดับการขาดดุลงบประมาณลงจากระดับ 593,000 ล้านบาท ให้มาอยู่ที่ระดับ 450,000-500,000 ล้านบาท ด้วยการขยายฐานรายได้เพิ่มจากการขยายฐานภาษีใหม่เพิ่มและแหล่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจ พร้อมกับปรับลดงบประจำและการลงทุนที่ไม่จำเป็นลงมาอย่างน้อย 93,000-143,000 ล้านบาท การยกระดับรายได้ของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนสำหรับผู้จบปริญญาตรีจะทำให้รัฐเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้นอย่างมีนัยยสำคัญ รายได้นิติบุคคลและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รัฐเก็บภาษีนิติบุคคลและภาคธุรกิจได้มากขึ้น การขยายฐานภาษีสรรพสามิต ภาษีความหวานระยะที่สาม เพิ่มการจัดเก็บภาษีความเค็ม ภาษีเหล่านี้นอกจากเป็นแหล่งรายได้ให้รัฐเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณแล้ว ยังทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารลดปริมาณน้ำตาลและความเค็มเพื่อสุขภาพของประชาชนตามแนวทางป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อขององค์การอนามัยโลกและยังเป็นกลไกสำคัญในการวางรากฐานสังคมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ ทำให้ค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลลดลง

การลดการขาดดุลงบประมาณต้องมีเป้าหมายทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีกลับลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 60% ของจีดีพีภายใน 2 ปี นั่นคือ ต้องทำให้หนี้สาธารณะลดลงมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของจีดีพี เพื่อให้ประเทศมีช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Space) เพิ่มขึ้นสามารถรับมือกับความผันผวนภายในและเศรษฐกิจโลกในอนาคตได้มากขึ้นรองรับสังคมชราภาพเต็มรูปแบบซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ พื้นที่การคลังที่เหมาะสมสามารถนำไปคำนวณหาระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีดุลยภาพ และเพดานหนี้สาธารณะดุลยภาพได้ เพราะขณะนี้ประเทศมีทั้งระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพี และเพดานหนี้สาธารณะเกินดุลยภาพมาค่อนข้างมากแล้ว เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว ควรแก้ไขปัญหานี้เพื่อฐานะทางการคลังที่เข้มแข็งสอดคล้องกับกรอบความยั่งยืนทางการคลัง และเพิ่มช่องว่างทางการคลัง การลดสัดส่วนหนี้ในปีนี้เพื่อให้มีช่องว่างเพิ่มขึ้นหากจำเป็นต้องก่อหนี้สาธารณะเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะต่อไป

สำหรับงบประมาณปี 67 ควรเป็นกลไกที่สนับสนุนการจ้างงาน การเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายของประชาชน ขณะนี้อุปสงค์มวลรวมกระเตื้องขึ้นบ้างแล้วจากการเปิดประเทศ แต่ประชาชนจำนวนมากยังไม่มีรายได้ตามปรกติ และหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ฐานความคิดใหม่และยุทธศาสตร์ใหม่ของงบประมาณ คือ จะทำอย่างไรให้ผลิตภาพของทุนและแรงงานสูงขึ้นทำให้รายได้โดยรวมเพิ่มขึ้นสามารถไปลดหนี้ได้ การใช้งบประมาณของหน่วยราชการควรบูรณาการกับภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนไม่คิดแยกส่วน เน้นบูรณาการตามยุทธศาสตร์ของประเทศ การบริหารนโยบายการคลังเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในภาพรวม คือ ไม่เพียงประเมินหรือวิเคราะห์ระดับการออมหรือหนี้ที่เกิดจากภาคสาธารณะเท่านั้น แต่การกระทำใดๆ จากภาคสาธารณะหรือภาครัฐยังอาจเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและภาคต่างประเทศได้อีกด้วย ในทำนองเดียวกันหากเกิดปัญหาวิกฤตหนี้ในภาคเอกชนหรือเกิดภาวะถดถอยหรือวิกฤติเศรษฐกิจโลก ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคสาธารณะได้เช่นกัน

ดังนั้น การวิเคราะห์ความยั่งยืนของภาคสาธารณะโดยไม่คำนึงถึงภาคเศรษฐกิจอื่นเท่าที่ควรอาจทำให้ประเมินสถานการณ์อนาคตผิดพลาดได้ สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับไทยและหลายประเทศ เพราะแม้ภาคการคลังจะไม่มีปัญหาในตอนแรก แต่หากภาคเอกชนหรือภาคต่างประเทศเกิดปัญหา สุดท้ายก็ส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังได้ อย่างเช่น หนี้สินกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจการเงินปี พ.ศ.2540

งบประมาณปี 2567 ควรเปลี่ยนงบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenditure) ให้เป็นงบค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน (Capital Expenditure) เพิ่มขึ้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยใช้วิธีการจัดทำงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์แบบฐานศูนย์ (Zero-Based and Strategic Budgeting) เน้นการมีส่วนร่วมในการจัดงบประมาณแบบกระจายอำนาจ ดึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ การจัดทำงบประมาณแบบนี้จะนำมาสู่การปฏิรูประบบราชาการ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ลดการใช้งบประมาณสิ้นเปลื้องและไม่เหมาะสม

สำหรับการกู้เงินหรือก่อหนี้สาธารณะของรัฐเพื่อนำมาใช้จ่ายที่มีความจำเป็นนั้นสามารถดำเนินการได้ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว เราต้องเข้าใจว่าเงินเหล่านี้จะเป็นหนี้สาธารณะที่ประชาชนผู้เสียภาษีต้องร่วมกันรับผิดชอบ ต้องใช้ในโครงการต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ การใช้งบประมาณฐานศูนย์แบบมียุทธศาสตร์กำกับ (Zero-Based and Strategic Budgeting) โดยมีเป้าหมาย เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน ตัดงบดำเนินการที่ไม่จำเป็นและงบที่ไม่ตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศออกให้หมด ฐานะทางการคลังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่า 2% และทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จากระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หนี้สาธารณะของไทยส่วนใหญ่เป็นหนี้ภายในประเทศไม่ใช่หนี้ต่างประเทศจึงทำให้ฐานทางการคลังยังค่อนข้างมีเสถียรภาพอยู่

ส่วนข้อเสนอในการเปิดบ่อนคาสิโนอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยนั้นมีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ยังไม่ควรรีบเปิดให้ดำเนินการหากยังไม่มีการปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ เพราะจะทำให้ไม่สามารถควบคุมผลกระทบในทางลบได้ บ่อนการพนันคาสิโนนั้นตั้งอยู่บริเวณชายแดนโดยรอบประเทศไทย ประกอบไปด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ บ่อนการพนันตามแนวชายแดนทำให้เงินไหลออกผ่านนักเสี่ยงโชคชาวไทยปีละไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท ทำให้รัฐไทยสูญเสียรายได้ไปจำนวนไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม หากมีการตั้งบ่อนการพนันคาสิโนในไทย บ่อนการพนันอาจเป็นแหล่งฟอกเงินของพวกมิจฉาชีพหรือพวกที่มีรายได้มาจากแหล่งที่ผิดกฎหมาย เป็นแหล่งซ่องสุมของพวกอาชญากร บ่อนการพนันอาจนำไปสู่ธุรกิจนอกกฎหมายรูปแบบอื่นๆ การเปิดบ่อนการพนันคาสิโนขึ้นในประเทศ เพื่อหวังจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเล่นการพนันในประเทศเพื่อให้เงินไหลเข้าแทนที่จะไหลออก อาจไม่ได้ผลอย่างที่คาด เพราะนักเลงพนันมักมีบ่อนที่เล่นประจำ เช่น มาเก๊า สิงคโปร์ กัมพูชา เป็นต้น

กรณีมาเก๊าที่มีอุตสาหกรรมการพนันขนาดใหญ่ เคยสามารถทำรายรับจากอุตสาหกรรมการพนันสูงถึง 45,090 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม ต้นทุนทางสังคมก็ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 40 ล้านดอลลาร์เป็น 106 ล้านดอลลาร์ คดีอาญาของมาเก๊าเพิ่มขึ้น 52% อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนันเพิ่มขึ้น 37% ปัญหาการเสพติดพนันจนกระทบต่อชีวิตเพิ่มขึ้น 4.3% ในช่วงปี พ.ศ.2546-2550

อย่างไรก็ตาม ปัญหาผลกระทบทางลบจากบ่อนพนันคาสิโนถูกกฎหมายในสิงคโปร์น้อยกว่ามาก เพราะมีระบบการบังคับใช้กฎหมายที่ดีและมีระบบการคัดกรองและกีดกันไม่ให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่เข้าเกณฑ์เข้าถึงการเล่นพนันคาสิโน ขณะเดียวกันการมีรายได้จำนวนมากจากบ่อนพนันคาสิโนของมาเก๊าและสิงคโปร์ทำให้รัฐมีเงินรายได้เพิ่มเติมในการจัดสวัสดิการสังคมให้กับประชาชนได้ ฉะนั้นรายได้คาสิโนอาจส่งผลดีต่อฐานะทางการคลังในระยะสั้นได้ ส่วนผลระยะยาวนั้นหากการกำกับควบคุมและการบังคับใช้กฎหมายไม่ดีพอจะเกิดรายจ่ายจำนวนมากจากการตามแก้ปัญหาผลกระทบเชิงลบทางสังคมและสถาบันครอบครัว

การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยอาศัยการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) และมีบ่อนการพนันคาสิโนนั้นจะเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจก็ต่อเมื่อมีนโยบายและข้อบังคับกฎหมายที่รัดกุมเข้มงวด เช่น จำกัดอายุ จำกัดระดับรายได้ มาตรการป้องกันการเป็นแหล่งฟอกเงิน การเก็บค่าใช้บริการในอัตราสูง สามารถป้องกันไม่ให้เกิดนักพนันเพิ่มขึ้นในระยะยาว ป้องกันอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมาย เป็นต้น เมื่อเก็บภาษีได้แล้วก็นำมาพัฒนาสังคมและรณรงค์ให้ลดละเลิกการพนันเช่นเดียวกับเก็บภาษีปาบ (สุรา บุหรี่) แล้วนำมาตั้งเป็นกองทุนให้ลดละเลิกอบายมุขเหล่านี้ ส่วนผลกระทบทางสังคมและการเมือง ปัญหาอาชญากรรมและการมีอิทธิพลของกลุ่มทุนอุตสาหกรรมพนันต่อนโยบายของประเทศนั้น ปัญหาผลกระทบทางลบต่างๆ จะบรรเทาลง หากมีการบังคับใช้กฎหมายที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีสังคมประชาธิปไตยที่เปิดกว้างแล้ว หากไม่เชื่อมั่นว่า สังคมไทยมีความพร้อมตามที่กล่าวมา ยังไม่สมควรให้มีการจัดตั้งบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย ควรอนุญาตให้มีสถานบันเทิงแบบครบวงจร แบบไม่มีบ่อนพนันคาสิโน (Entertainment Complex without Casino) เท่านั้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ม.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top