ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าฯ ธ.ค.ขยับขึ้นทุกภาค รับท่องเที่ยวคึกคัก

นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) ประจำเดือนธ.ค. 65 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจและหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ในระหว่างวันที่ 26-30 ธ.ค. 65 โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 45.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 43.9 ในเดือนพ.ย. 65

โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้

– กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดัชนีฯ อยู่ที่ 44.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 43.1

– ภาคกลาง ดัชนีฯ อยู่ที่ 46.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 44.7

– ภาคตะวันออก ดัชนีฯ อยู่ที่ 48.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 47.3

– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 45.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 43.7

– ภาคเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 45.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 43.4

– ภาคใต้ ดัชนีฯ อยู่ที่ 43.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 42.2

– ปัจจัยบวก ได้แก่

1. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้การจ้างงานและรายได้แรงงานสูงขึ้น กระจายทั่วถึงมากขึ้น

2. SET Index เดือน ธ.ค. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.3 จุด จาก 1,635.36 ณ สิ้นเดือน พ.ย. 65 เป็น 1,668.66 ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 65

3. การผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วง High season

4. ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 (E10) ในประเทศยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 34.48 และ 34.75 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศ ยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ระดับ 34.94 บาทต่อลิตร

5. ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวในระดับที่ดี โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น

– ปัจจัยลบ ได้แก่

1. เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกคาดว่าจะมีการชะลอลง แต่ทั้งนี้เศรษฐกิจโดยรวมก็ยังฟื้นตัวได้ใกล้เคียงเดิม

2. ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 36.427 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน พ.ย. 65 เป็น 34.795 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 65

3. การส่งออกของไทยเดือน พ.ย. 65 หดตัว 6.0% มูลค่าอยู่ที่ 22,308 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 5.6% มีมูลค่าอยู่ที่ 23,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 1,342 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

4. สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงจีนกับไต้หวัน ที่อาจส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาพลังงาน ราคาอาหาร และเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น

5. ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด ทางภาคใต้ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน และรวมถึงผลผลิตทางการเกษตร

6. ความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงเกิดขึ้น และยิ่งมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ประชาชนยังต้องระมัดระวังการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น

7. ความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และค่าพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจยังเสนอแนวทางดำเนินการในการแก้ไขปัญหา ดังนี้

– ดูแลต้นทุนการประกอบธุรกิจที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

– หามาตรการที่จะช่วยดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

– หามาตรการช่วยผู้ประกอบการ ในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของธุรกิจ และดูแลค่าเงินบาทให้เอื้อต่อธุรกิจส่งออกนำเข้าอย่างเหมาะสม

– กระตุ้นการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศฟื้นตัว

– เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ของสถานการณ์น้ำท่วมขัง และน้ำป่าไหลหลากในหลายจังหวัด

– มาตรการรับมือในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจจะเริ่มกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง จากการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้น

ด้านนายธนวรรน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า จากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนธ.ค.65 ซึ่งภาคธุรกิจ และหอการค้าจังหวัดส่วนใหญ่ของทุกภาค ต่างมีความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น หลังจากภาคท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลมาจากที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติทยอยเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นตามแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจในท้องถิ่นเพิ่มการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว มีการจ้างงานมากขึ้น เพื่อรองรับกับการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา

อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจยังมีความกังวลต่อภาวะค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนด้านพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้น ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาว่าจะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมีความกังวลต่อภาวะเงินบาทที่แข็งค่าค่อนข้างเร็ว จึงต้องการให้หน่วยงานที่กำกับดูแล ช่วยดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้เหมาะสม และเอื้อต่อการส่งออกของไทย เพราะภาคการส่งออกยังเป็นตัวช่วยค้ำยันเศรษฐกิจไทยในปีนี้ได้อยู่ โดยในปีนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทย จะขยายตัวได้ราว 1-2%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ม.ค. 66)

Tags: , ,
Back to Top