กกร.คงเป้า GDP ปี 66 มองยังมีข้อจำกัด แม้ท่องเที่ยวฟื้นหนุน

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.0-3.5% แม้เศรษฐกิจไทยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสูงถึง 20-25 ล้านคน จากปัจจัยหนุนที่จีนเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.66 ขณะที่ปี 65 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 11.1 ล้านคน มากกว่าที่ได้เคยคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ โดยอัตราเข้าพักโรงแรมเดือนธ.ค.65 อยู่ที่ 63% เข้าใกล้ระดับปกติที่ 77%

“เดือนนี้ยังไม่มีการปรับคาดการณ์ แม้จะมีทัวร์จีนเข้ามา เพราะเป็นประเด็นที่เราได้ประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่การ
เดินทางเข้ามาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้มั่นใจว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 ภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นตัวแน่นอน และเป็นไปอย่างทั่วถึง เพราะนักท่องเที่ยวจีนไม่ได้ใช้เงินมา 3 ปี จะซื้อของแบบไม่อั้น ทั้งช้อปทั้งกิน ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไปจะพักผ่อนอยู่ในโรงแรม”

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร.กล่าว

ส่วนข้อกังวลเรื่องนักท่องเที่ยวจีนจะนำเชื้อโควิด-19 มาแพร่ระบาดนั้นเป็นข้อกังวลหรือตื่นตระหนกเกินไปกว่าเหตุ เนื่องจาก
ช่วงที่ทางการจีนปิดประเทศได้มีการฉีดวัคซีนให้กับประชากรของตนเองก่อนที่จะเปิดให้เดินทางออกนอกประเทศได้ ขณะที่ระบบสาธารณสุขของไทยมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะรองรับสถานการณ์ได้

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ของ กกร.

%YoYปี 2565 (ธ.ค.65)ปี 2566 (ธ.ค.65)ปี 2566 (ม.ค.66)
GDP3.23.0 ถึง 3.53.0 ถึง 3.5
ส่งออก7.251.0 ถึง 2.01.0 ถึง 2.0
เงินเฟ้อ6.22.7 ถึง 3.22.7 ถึง 3.2

ประธาน กกร. กล่าวว่า สำหรับค่าไฟฟ้าแพง หลังจาก กกร.ได้มีข้อเสนอแนะและหารือกับรัฐบาลเพื่อหาแนวทางออกที่เหมาะสมเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อต้นทุนพลังงาน แม้ไม่ได้ตรึงราคาตามข้อเสนอของภาคเอกชน ซึ่งอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงบางส่วนโดยไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป

โดยหวังว่า รัฐบาลจะมีมาตรการในการดูแลค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการลดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากทุกภาคส่วน โดย กกร.ได้มีการจัดตั้งคณะทำงาน task force ด้านพลังงาน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs วางแผนและนำเสนอแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการด้านพลังงาน โดยภาคเอกชนก็พร้อมที่จะปรับตัวในการใช้พลังงานทางเลือกให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และมีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตภายใต้เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในปีนี้ โดยจะต้องวางแผนในระยะยาวให้มีความสมดุลทั้งด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ การดูแลสิ่งแวดล้อม และความสามารถในการแข่งขันต่อไป

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การจัดตั้ง กรอ.พลังงาน จะช่วยให้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมเหมือนที่มีการตั้ง กรอ.พาณิชย์ หรือ กรอ.ภูมิภาค เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อผู้ประกอบการในวงกว้าง
และจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติ อีกทั้งเป็นการซ้ำเติมเรื่องปัญหาเงินเฟ้อ

“เรื่องนี้ความมีความชัดเจน ไม่ใช่ต้องมารอลุ้นกันทุก 4 เดือน เรื่องนี้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้ประกอบการ รวมถึงการ
ตัดสินใจเข้ามาลงทุน เพราะค่าไฟที่ประเทศเพื่อนบ้านถูกกว่ามาก สิ่งที่กังวลคือใกล้ช่วงเลือกตั้ง อาจเกิดสุญญากาศหรือการเกียร์ว่าง ก็อยากเรียกร้องไปถึงรัฐบาลหน้าให้เข้ามาดูแลอย่างจริงจัง”

นายเกรียงไกร กล่าว

สำหรับปัญหาเงินบาทแข็งค่านั้น นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า มาจากปัจจัยดอลลาร์อ่อนค่า และ
การคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไดรับอานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน เนื่องจากรายได้หลักของไทยส่วนหนึ่งมาจากการท่องเที่ยว นอกจากนี้ตั้งแต่ต้นปีมีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นราว 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นดีมานด์ที่สูงกว่าปกติ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นการพักเงินเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และคิดว่าเป็นเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ดูแลให้เป็นไปตามกลไกตลาดอยู่แล้ว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ม.ค. 66)

Tags: , ,
Back to Top