นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งผันผวน ทั้งในแดนบวกและลบ รับผลกระทบหุ้น DELTA ร่วงแรง ฉุดมาร์เก็ตแคปลงเป็นอันดับ 2 รองจาก AOT และตลาดหุ้นในต่างประเทศปรับตัวลง จากความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่ยังได้ปัจจัยหนุนจากเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น และดอกเบี้ยขาขึ้น ให้แนวรับไว้ที่ 1,660-1,655 จุด และแนวต้าน 1,668-1,675 จุด
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งผันผวน เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบ โดยมีปัจจัยกดดันจากผลกระทบหุ้น DELTA ที่วานนี้ปรับตัวลงหนัก ทำให้ล่าสุดมาร์เก็ตแคปลดลงมาอยู่อันดับ 2 รองจาก AOT หลังเพิ่งไต่ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ได้ไม่นาน ขณะที่การร่วงลงของราคาหุ้น DELTA ทุกๆ 10 บาท จะส่งผลต่อ SET 1 จุด ซึ่งหากตัดหุ้น DELTA ออก SET วานนี้จะบวกได้ราว 1.4 จุด
ทั้งนี้ยังรับแรงกดดันจากตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นดาวโจนส์และแนสเด็ก (Nasdaq) ที่ปรับตัวลงแรงจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยนักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.พ. หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่ง ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 45.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้น้ำหนักเพียง 27.2%
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง, ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน และดอกเบี้ยขาขึ้น จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ให้แนวรับไว้ที่ 1,660-1,655 จุด และแนวต้าน 1,668-1,675 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (5 ม.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,930.08 จุด ร่วงลง 339.69 จุด หรือ -1.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,808.10 จุด ลดลง 44.87 จุด หรือ -1.16% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,305.24 จุด ลดลง 153.52 จุด หรือ -1.47%
– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 25,740.08 จุด ลดลง 80.72 จุด หรือ -0.31%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,220.89 จุด เพิ่มขึ้น 168.72 จุด หรือ +0.80% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,155.07 จุด ลดลง 0.15 จุด หรือ -0.005%
– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 ม.ค.65) 1,663.86 จุด ลดลง 9.39 จุด, -0.56%
– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,272.99 ลบ.เมื่อวันที่ 5 ม.ค.65
– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. (5 ม.ค.)เพิ่มขึ้น 83 เซนต์ หรือ 1.14% ปิดที่ 73.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 ม.ค.) อยู่ที่ 8.50 เหรียญ/บาร์เรล
– เงินบาทเปิด 33.97 อ่อนค่าเล็กน้อย หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหนุนดอลลาร์แข็งค่า
– “พาณิชย์” แจงเงินเฟ้อไทยปี 65 อยู่ที่ 6.08% ทะยานสูงสุดรอบ 24 ปีตั้งแต่ปี 41 หลังราคาพลังงานดีดแรงเฉียด 24% พร้อมคาดไตรมาส 1/66 ยังพุ่งต่อ ส่วนทั้งปีเคาะที่ 2.5% ลุ้น เม.ย.ทยอยลด ตามราคาสินค้าที่เริ่มปรับลดลง
– “ไทย” เคาะข้อกำหนดนักท่องเที่ยว จากประเทศที่ต้องตรวจโควิด RT-PCR ก่อนกลับประเทศ ต้องทำประกันสุขภาพก่อนเข้าไทย เล็งตั้งจุดตรวจในโรงแรมอำนวยความสะดวก “แอร์ไลน์” ตีปีกเพิ่มไฟลต์บินเข้าไทย หลังจีนดีเดย์ 8 ม.ค.ยกเลิกมาตรการกักตัวขาเข้า “เซียะเหมิน แอร์ไลน์ส” ประเดิมเที่ยวบินแรก 9 ม.ค.เส้นทางเซียะเหมิน-กรุงเทพฯ “กระทรวงท่องเที่ยวฯ” เล็งจัดงานต้อนรับทัวริสต์จีน
– ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในช่วงต้นปี 66 มีบริษัทที่เตรียมระดมทุนเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ทั้งหมด 27 บริษัท จากปี 65 ที่มีบริษัทเข้าระดมทุนเสนอขายไอพีโอไปแล้วทั้งหมด 42 บริษัท คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 127,835.82 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 506,545.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่มีการระดมทุนเสนอขายไอพีโอ 41 บริษัท คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 137,273.65 ล้านบาท และมีมาร์เกต แคป 454,015.71 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าตลาดทุนไทยยังเป็นแหล่งทุนที่สำคัญและยังมีการระดมทุนผ่านตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง
– กนอ.กำหนดมาตรการส่งเสริมการขายและให้เช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ประจำปีงบประมาณ 2566 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการลดอัตราค่าเช่าและอัตราซื้อขายที่ดิน และสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาเช่าและซื้อที่ดินใช้เป็นฐานการผลิตและการลงทุนจากจีน และซาอุดีอาระเบีย ที่มีความมั่นใจในศักยภาพของไทย ส่งผลให้การลงทุนในปีนี้ฟื้นตัวได้ตามเป้าอย่างแน่นอน มีผลบังคับ 1 ต.ค.2565-30 ก.ย.2566 ครอบคลุมทั้งนักลงทุนรายเก่าและรายใหม่ ในพื้นที่นิคม 4 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ในส่วนพื้นที่รับเบอร์ซิตี้ จ.สงขลา, นิคมอุตสาหกรรมสงขลา (ระยะที่ 1) จ.สงขลา, นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว จ.สระแก้ว และนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร จ.พิจิตร
หุ้นเด่นวันนี้
– SABINA(กสิกรไทย) “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 28.9 บาท โดยมีจุดเด่นคือ 1.) แนวโน้มยอดขายและกำไรไตรมาส 4/65 จะโต YoY และ QoQ จาก ยอดขาย Offline store, ยอดขาย OEM ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากฝั่งยุโรปและอังกฤษ โดยยอดการจองเต็มไปถึงเดือนเมษายนปีนี้ และ ต้นทุนการนำเข้าที่ถูกลง จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าเทียบหยวน คาด Net profit margin ที่ระดับ 12-13% สูงกว่า Pre-COVID ปี 2562 2.)Outlook 2023 มีโอกาสทำ new high จาก ยอดขายคาดโต 10-15% จากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และเคมเปญกระตุ้นยอดขาย และ ยอดขายฝั่ง OEM ที่ Fully booked ไปถึงเดือน 4 ซึ่งเป็นสินค้า high margin (NPM 30%)
– SHR (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5 บาท SHR เริ่มมีผลการดำเนินงาน Turnaround แล้วตั้งแต่ไตรมาส 3/65 และคาดว่าจะมี Momentum การฟื้นตัวที่แข็งแรงต่อเนื่องในไตรมาส 4/65 -ปี 2566 โดยเฉพาะโรงแรมในไทยซึ่งมีสัดส่วนราว 20-30% ของรายได้รวม คาดผลการดำเนินงานของ SHR จะพลิกมีกำไร 438 ลบ.ใสปี 2566 จากขาดทุน 162 ลบ.ในปี 2565 อีกความน่าสนใจคือ Valuation ที่ยังไม่สูง ปัจจุบันเทรด 2023PBV ที่ 0.9 เท่า เทียบกับกลุ่มโรงแรมอื่นที่เทรดเฉลี่ยราว 3 เท่า
– MINT(คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 36.25 บาท บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 ที่ 4.6 พันล้านบาท ดีขึ้น QoQ และพลิกกำไร YoY หนุนจากรายได้กลุ่มโรงแรมที่ปรับตัวสูงขึ้นตาม RevPar ในภูมิภาคยุโรป ลาตินอเมริกา และไทย ส่วนกลุ่มร้านอาหารปรับตัวดีขึ้นเช่นกันหลังผ่อนคลาย Lockdown และการเพิ่มสาขาใหม่ ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/65 กำไรปกติดีต่อเนื่องเพราะเข้าช่วง High Season ของการท่องเที่ยวไทย และ Maldives ขณะที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และ Utility Cost ในยุโรปเริ่มลดลงตามราคาพลังงาน ส่วนปี 66 ตลาดคาดกำไรประมาณ 5 พันล้านบาท ฟื้นตัว +255%YoY โดยโรงแรมในยุโรปมีทิศทางเป็นบวกแม้ช่วง 1H จะเป็น Low Season แต่มีปัจจัยหนุนจากสภาพอากาศที่หนาวน้อยกว่าคาด รวมถึงจะได้ Demand ของลูกค้าภาคธุรกิจ ขณะที่โรงแรมในไทย และ Maldives รับอานิสงส์นักท่องเที่ยวไหลเข้าไทยและการเปิดประเทศของจีนช่วยหนุนให้ RevPar และ Occ.Rate ปรับตัวดีขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ม.ค. 66)
Tags: SET, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย