บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) โตวันโตคืน นับตั้งแต่แตกไลน์ธุรกิจนอกกลุ่มพลังงาน มุ่งสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) ผ่านการเข้าซื้อหุ้นบมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) รวมถือครองหุ้น 46.07% ขึ้นแท่นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่งผลรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในไตรมาส 4/64 เป็นครั้งแรก ดันกำไรสุทธิทั้งปี 64 โตเกือบเท่าตัว มาที่ 7,670.30 ล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิน่าจะเติบโตต่อเนื่องในปี 65-66
และล่าสุด GULF เข้าซื้อหุ้น บมจ.ไทยคม (THCOM) จำนวน 450,870,934 หุ้น คิดเป็น 41.13% จาก INTUCH และจะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ส่วนที่เหลือ 645,231,020 หุ้น คิดเป็น 58.87% ราคาเดียวกับราคาซื้อหุ้นสามัญ THCOM จาก INTUCH คือหุ้นละ 9.92 บาท คิดเป็นจำนวนเงินรวม 6,400.69 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/66 ภายหลังยื่นทำเทนเดอร์ฯอย่างเป็นทางการเริ่มวันพรุ่งนี้
โบรกเกอร์มองว่าธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) ที่เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นจากการเข้าซื้อ THCOM ต่อยอดสู่ธุรกิจดาวเทียม และการขยายสู่ธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ผ่านการจับมือกับ Binance รวมถึงการร่วมมือกับ Singtel และ ADVANC เพื่อทำธุรกิจศูนย์ข้อมูล (DATA Center) ในไทย คาดจะเห็นแผนชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 1/66 ซึ่งถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก และน่าจะเข้ามาเพิ่ม Value ให้กับ GULF ในอนาคตได้
ขณะที่ธุรกิจพลังงานยังเติบโต จากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณย์ (COD) และการซื้อกิจการโรงไฟ้ฟ้า (M&A) ส่งผลให้ปี 66 กำไรสุทธิเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
ราคาหุ้น GPSC เมื่อเวลา 15.14 น.อยู่ที่ 55.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท +0.45% ขณะที่ดัชนี SET -0.51%
โบรกเกอร์ | คำแนะนำ | ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) |
---|---|---|
หยวนต้า | ซื้อ | 66.00 |
เอเซียพลัส | ซื้อ | 65.00 |
โนมูระฯ | Traging Buy | 55.00 |
ฟินันเซีย ไซรัส | ซื้อ | 66.00 |
พาย | ซื้อ | 62.00 |
อินโนเวสท์ เอกซ์ | ซื้อ | 63.00 |
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) หยวนต้า ซื้อ 66.00 เอเซียพลัส ซื้อ 65.00 โนมูระฯ Traging Buy 55.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 66.00 พาย ซื้อ 62.00 อินโนเวสท์ เอกซ์ ซื้อ 63.00
นายธีร์ธนัตถ์ จินดารัตน์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า THCOM จะเข้ามาสนับสนุนกำไรสุทธิของ GULF ในปี 66 ราว 2% หรือคิดเป็น 300-400 ล้านบาท (ยังไม่ได้นำมารวมกับประมาณการกำไรสุทธิปี 66) แต่ในระยะยาวอีก 2-3 ปีข้างหน้า คาดจะสามารถรับรู้กำไรเข้ามาได้มากขึ้น จากการประมูลดาวเทียมดวงใหม่ และการต่อยอดไปสู่ธุรกิจดาวเทียมที่น่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในอนาคต
นอกจากนั้นแล้ว GULF ยังร่วมมือกับกลุ่ม Binance เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ในประเทศไทยและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด (Gulf Binance) (GULF ถือหุ้นสัดส่วน 51% และ Binance Capital Management ถือหุ้นในสัดส่วน 49%)
ปัจจุบันได้มีการยื่นเรื่องขอใบอนุญาตในการประกอบศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตฯ ภายในช่วงไตรมาส 1/66 และสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจได้ทันที
นายธีร์ธนัตถ์ กล่าวว่า ธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) หากเกิดขึ้นได้ตามที่บริษัทคาด จะมีผลต่อกำไรในเชิงบวก ขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขาย และจำนวนลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการว่าจะมีมากน้อยเพียงใด ซึ่งยังต้องติดตามดูกันต่อ รวมถึงติดตามกลยุทธ์การดำเนินของกัลฟ์ ในธุรกิจดังกล่าวต่อไปด้วย เนื่องจากขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดมากนัก
อย่างไรก็ตามการลงทุนดังกล่าวแม้จะยังไม่สะท้อนทันทีในปีนี้ แต่ถือเป็นการเพิ่ม Value ที่ดีในอนาคตให้กับกัลฟ์ สำหรับการต่อยอดธุรกิจ
*กำไรปี 66 นิวไฮต่อ แม้ไม่มี THCOM-ธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
บล.หยวนต้า ประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ของ GULF ยังคงเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ต่อเนื่อง ที่ 18,900 ล้านบาท จากปี 65 คาดมีกำไรสุทธิเติบโต 12,023 ล้านบาท โดยยังไม่ได้นับรวม THCOM และธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) เข้ามาในประมาณการดังกล่าว เนื่องจากยังไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรในระยะสั้น
การเติบโตในปี 66 ยังคงมาจากธุรกิจพลังงานตามเมกะวัตต์ (MW) ที่เพิ่มขึ้น หลังผ่านเกณฑ์คุณสมบัติเข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 กลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง กำลังการผลิตรวม 5,203 เมกะวัตต์ รอบแรกมาได้ และคาดรอบเทคนิคนี้ ก็น่าจะได้รับคัดเลือก ซึ่งจะทราบผลในวันที่ 22 มี.ค.66
ขณะที่แผน PDP ฉบับใหม่ ก็คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 1/66 ซึ่งคาดว่าภาครัฐน่าจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050 ของไทย ตามประชาคมโลก อีกทั้งยังได้ปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้าในตลาดโลกฟื้นตัวดีขึ้นอีกครั้ง คาดว่า GULF น่าจะมีโปรเจกใหม่ๆ เกิดขึ้น ในแถบยุโรป และสหรัฐฯ หลังเข้าซื้อหุ้น 49% ในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson ที่สหรัฐฯ
GULF ยังคงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH เข้ามาต่อเนื่อง โดยคาดว่าปี 66 จะสามารถรับรู้ประมาณ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26% ของประมาณการกำไรสุทธิดังกล่าว
ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 4/65 มีโอกาส New High จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 170 MW ที่ถือในสัดส่วน 50% จากการซื้อเงินลงทุนจาก GUNKUL เต็มไตรมาสครั้งแรก, การจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้า IPP และการเข้าสู่ Season ของBKR2 และการ COD หน่วยที่ 4 ของ GSRC อีกกว่า 660 MW เต็มไตรมาส รวมถึงจะรับรู้กำไรพิเศษจากการขายหุ้นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล ประเทศเยอรมนี Borkum Riffgrund 2 ในสัดส่วน 50% ให้แก่ Keppel Group มูลค่าการขาย 305 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 คาดเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรับรู้โครงการ Jackson เต็มไตรมาส และ COD โรงไฟฟ้า IPP เพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 2/66 ซึ่งยังไม่นับรวมกับกำลังการผลิตใหม่ที่จะมีเข้ามาเพิ่มเติมอีก จากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ตลอดทั้งปี
แนะนำซื้อ ที่ราคาเป้าหมายที่ 66 บาท/หุ้น โดยยังมีอัพไซด์ค่อนข้างมากจากราคาหุ้นปัจจุบัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ม.ค. 66)
Tags: Consensus, GULF, กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์, หุ้นไทย