KPMG บริษัทสอบบัญชีรายใหญ่ของโลก เปิดเผยผลสำรวจว่า เหล่าผู้บริโภคอังกฤษวางแผนปรับลดการออกไปรับประทานอาหารตามร้านอาหารและการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยลงในปีหน้า หลังค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นเริ่มส่งผลกระทบต่อรายได้
ทั้งนี้ KPMG ระบุว่า เกือบ 2 ใน 3 ของจำนวนผู้ตอบแบบสำรวจ 3,000 คน รู้สึกถึงความจำเป็นของการลดการใช้จ่ายและการเก็บออมมากขึ้น จากปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงที่สุดในรอบ 40 ปี โดยทางบริษัทพบว่า ผู้คนต้องใช้จ่ายเงินไปกับปัจจัยพื้นฐานอย่างอาหาร ค่าที่พัก และค่าพลังงานมากขึ้น
ค่าใช้จ่ายด้านการรับประทานอาหารนอกบ้าน การซื้ออาหารกลับบ้าน และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เป็นปัจจัยที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เลือกที่จะปรับลดเป็นอันดับแรก ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงสำหรับบริษัทผู้ค้าปลีกและผู้ให้บริการในปี 2566 โดยผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 1 ใน 3 ระบุว่า จะซื้อสินค้าน้อยลงและเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เฉพาะของห้างสรรพสินค้าแต่ละแห่งมากขึ้น
นางลินดา เอลเลตต์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดผู้บริโภค ค้าปลีก และนันทนาการของ KPMG กล่าวว่า “ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนรูปแบบการซื้อสินค้าเพื่อการประหยัดเงินที่มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนไปซื้อสินค้าจากบริษัทค้าปลีกที่มีราคาถูกกว่า ซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณหรือมีโปรโมชั่นมากขึ้น และเปลี่ยนจากการรับประทานอาหารนอกบ้านมารับประทานอาหารในบ้านมากขึ้น”
ผลสำรวจของ KPMG พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบครึ่งหนึ่งกำลังใช้เงินออมมาเป็นส่วนเสริมจากรายได้ปกติ เพื่อให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 80% ในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
ทั้งนี้ ผู้บริโภคที่ตอบแบบสำรวจจำนวน 1 ใน 10 ระบุว่า ไม่มีเงินออม และผู้คนในลอนดอนมีเงินออมเฉลี่ยต่ำที่สุดอยู่ที่ 4,725 ปอนด์ (5,700 ดอลลาร์)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ธ.ค. 65)
Tags: KPMG, ค่าครองชีพ, ผู้บริโภค, ร้านอาหาร, รายได้, ลดค่าใช้จ่าย, สินค้าฟุ่มเฟือย, อังกฤษ, เศรษฐกิจอังกฤษ