ITC ปิดเทรดวันแรกที่ 31.00 บาท ต่ำกว่าราคา IPO 3.13% หรือ 1.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 6,093.85 ล้านบาท โดยเปิดเทรดมาที่ 32.75 บาท สูงขึ้น 0.75 บาทจาก IPO ที่ 32.00 บาท จากนั้นไต่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 33.75 บาท ก่อนจะไหลลงมาแตะจุดต่ำสุด 30.75 บาทช่วงท้ายภาคบ่าย และดีดกลับขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะที่พบรายการบิ๊กล็อตหุ้น ITC-F จำนวน 4 รายการ จำนวนรวม 3,499,600 หุ้น เทรดเฉลี่ย 32.03 บาท มูลค่ารวม 112.08 ล้านบาท และมีรายการบิ๊กล็อต ITC อีก 1 รายการ 1.3 ล้านหุ้น เทรดที่ราคา IPO 32.00 บาท คิดเป็นมูลค่า 41.60 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ กล่าวว่า ราคา IPO หุ้น ITC ค่อนข้างตึงตัว แม้ว่า P/E จะไม่ได้แพง ประกอบกับภาพรวมตลาดวันนี้เงียบเหงา นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกลดความเสี่ยงก่อนเข้าหยุดยาว และจะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า ทำให้ขึ้นไปได้ไม่มาก แต่พื้นฐานธุรกิจยังมีโอกาสโตได้ในปีนี้และปีถัดไป เพราะถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง
ขณะที่ บล.ทิสโก้ ประมาณการเบื้องต้นหุ้น บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) มูลค่าเหมาะสมปี 66 ที่ 39-41 บาท (อิงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งที่มีลักษณะการดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน ที่ P/E 23.5-24 เท่า)
ITC มีแนวโน้มผลการดำเนินงานค่อนข้างสดใส จากอุปสงค์อาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นตามตลาดโลก จากพฤติกรรมของการเลี้ยงสัตว์ที่เอาใจใส่สัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกคาดจะมีการเติบโตปี 65-69 เฉลี่ยที่ 7.1% โดยเฉพาะในอาหารเปียก มากกว่า อาหารแห้ง และอาหารแมว มากกว่า อาหารสุนัข ซึ่งเป็นสินค้าที่ ITC มีสัดส่วนรายได้มาก อีกทั้งสามารถสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด จากการร่วมมือกับบริษัทแม่อย่าง บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)
นอกจากนี้ จากแผนการนำเงินที่ได้จากการ IPO ไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต และเน้นพัฒนากลุ่มสินค้าพรีเมียม จะช่วยสร้างการเติบโตของผลดำเนินงานแก่บริษัทในอนาคต สำหรับความเสี่ยงที่ต้องระวังของ ITC คือ ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ, การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูง, ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจถดถอยในปีหน้า
ITC เป็นบริษัทย่อยของ TU ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงประเภทแมวและสุนัขทั้งผลิตภัณฑ์ระดับมาตรฐานจนถึงผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ เป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ รับจ้างผลิต และจำหน่ายให้แก่ลูกค้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้จำหน่ายใน สหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น จีน และออสเตรเลีย ซึ่งการผลิตจะเป็นไปตามสัญญารับจ้างผลิตเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของลูกค้า เช่น Mars และ Smuckers (สัดส่วนรายได้ 99.1% ในช่วง 9M22)
นอกเหนือจากการรับจ้างผลิตแล้ว บริษัทฯ ยังจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ผ่านทางช่องทางค้าปลีกดั้งเดิม ซึ่งบริษัทฯ ใช้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ เป็นแพลตฟอร์มในการทดสอบการตอบรับของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนวัตกรรมใหม่ เพื่อช่วยลูกค้าที่จ้างผลิตสินค้าใช้ในการตัดสินใจนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ของตนเอง ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ได้แก่ Bellotta, Marvo, ChangeTer, Calico Bay และ Paramount (สัดส่วนรายได้ 0.9% ในช่วง 9M22)
โครงการในอนาคตของบริษัท มีแผนในการลงทุนปรับปรุงโรงงานที่จังหวัดสมุทรสาครและโรงงานที่จังหวัดสงขลาให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อขยายกำลังการผลิตและประสิทธิภาพของบริษัทฯ และขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการผลิต และ มีแผนลงทุนระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ (Automated Warehousing and Labelling System) เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บ ความรวดเร็ว และประสิทธิภาพในกระบวนการบรรจุผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สำหรับโรงงานที่จังหวัดสมุทรสาครและระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Warehousing System) สำหรับโรงงานที่จังหวัดสงขลา
นอกจากนั้น บริษัทฯจะลงทุนในโครงการวิจัยและพัฒนา (R&D) นวัตกรรม เทคโนโลยี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ และผลิตภัณฑ์ของลูกค้าที่บริษัทฯ รับจ้างผลิต รวมทั้งมีแผนขยายธุรกิจโดยการจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศจีนและทวีปยุโรปเพื่อติดต่อประสานงานและให้บริการแก่ลูกค้า และเพิ่มการลงทุนในบริษัทย่อยที่ประเทศญี่ปุ่น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ธ.ค. 65)
Tags: IPO, ITC, บล.ทิสโก้, หุ้นไทย, ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น