บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) เสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 305 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.86 บาท เปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 1-2 และ 6 ธ.ค.65 และพร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 15 ธ.ค. 65 ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
DTCENT ทำธุรกิจออกแบบ ผลิต จัดจำหน่ายและให้เช่าอุปกรณ์สำหรับติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) ผ่านระบบดาวเทียม, อุปกรณ์ติดตามยานพาหนะประเภทกล้องบันทึกภาพ (Mobile DVR) และอุปกรณ์เสริมทุกประเภท รวมถึงออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ตามความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ยังพัฒนาโครงการ Iot Solution และพัฒนาเทคโนโลยี AI ในระบบบริหารจัดการอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน
นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ DTCENT เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า ตลาด GPS เติบโตได้ 2 ทาง อย่างแรกคือจากนโยบายภาครัฐ เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศไทยมีสถิติเกิดอุบัติเหตุสูงติด 1 ใน 5 ของโลก ดังนั้นภาครัฐจึงมี Road Map ขยายกลุ่มรถที่ต้องติด GPS มากขึ้น จากแต่ก่อนที่บังคับเพียงรถขนส่งผู้โดยสารและรถขนส่งเคมีภัณฑ์
ขณะที่ GPS ที่บริษัททำอยู่ในตอนนี้ถือเป็นเพียง Gen 1 เท่านั้น ส่วนสินค้า Gen 2 เป็นกล้องวงจรปิดถ่ายทอดเรียลไทม์ เพื่อให้รู้สภาพการขับขี่ ซึ่งบางประเทศก็เริ่มบังคับเป็นกฎหมายแล้ว เช่น เวียดนาม และ Gen 3 คือเรื่องของ AI ทำให้รู้ใบหน้า พฤติกรรมของคนขับว่าพร้อมขับขี่หรือไม่
นอกจากนี้ บริษัทยังพัฒนาซอฟแวร์บริหารจัดการขนส่งอย่างต่อเนื่องเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าอีกด้วย
สำหรับตลาด IoT ในประเทศไทย อ้างอิงจากงานวิจัยของ Frost & Sullivan และสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ประเมินมูลค่าของตลาดในปี 66 จะมีมูลค่า 9 พันล้านบาท และจากนี้ไปจะโตขึ้นอีกปีละ 30% ซึ่งเมื่อครบสิบปี ภาพรวมของตลาดตอนนั้นจะแตะเกือบ 2 แสนล้านบาท ดังนั้น DTCENT ก็พร้อมจะเข้าไปชิงเค้กก้อนใหญ่นี้
“ถ้าเป็นบริษัทอื่น เขาจะซื้อฮาร์ดแวร์ต่างประเทศมาพัฒนาแล้วค่อยขาย แต่ DTCENT เราทำตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ อย่างที่บอกคือ ฮาร์ดแวร์ออกแบบเอง ซอฟต์แวร์พัฒนาเอง แม้กระทั่งแผนที่เราไม่ได้ใช้บริการจากที่อื่น เราใช้ของเราเอง เรียกว่าอะไรที่เป็นปัจจัยเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้เราควบคุมหมด และเรายังเข้าถึงเทคโนโลยียาก ๆ ได้ เช่น AI ที่เราพัฒนาของเราขึ้นมาเอง ทำให้เราต่อยอดโซลูชั่นต่าง ๆ ได้อีกมาก” นายทศพล กล่าว
และ DTCENT เป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจให้บริการระบบติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม GPS โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือน ม.ค.65) นอกจากนี้ ยังมีพาร์ทเนอร์ชั้นนำอย่าง บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) รวมถึง บริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ที่จะเข้ามาส่งเสริมเพิ่มศักยภาพให้แก่บริษัทอีกด้วย
- ลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) 70 ล้านบาท
- ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ 772.81 ล้านบาท
นายทศพล กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีข้างหน้า DTCENT จะมีงาน OEM จากพาร์ทเนอร์อย่าง YES เข้ามา เป็นงาน Tier 1 Supplier ติดตั้งอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ณ ปัจจุบัน DTCENT อยู่ระหว่างดำเนินการขอใบรับรอง และ การฝึกอบรมต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมกับงานที่จะเข้ามานี้
นอกจากงานด้าน GPS บริษัทยังมีโปรเจ็ตท์ IoT และ Smart City อีกมาก จึงจะนำเงินระดมทุนที่ได้มาใช้เพื่อรองรับการประมูลงาน โดยเฉพาะงานของหน่วยงานภาครัฐระดับ อบต. และ อบจ. ซึ่งเริ่มฟื้นตัวหลังจากต้องเผชิญกับช่วงแพร่ระบาดโควิด-19
และ DTCENT วางแผนจะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อย่างที่กล่าวไปว่า ตลาด IoT โตขึ้นทุกปี มีมูลค่ามหาศาล ถึงแม้บริษัทจะมีทีม R&D ของตัวเอง แต่อาจจะไม่เพียงพอ จึงมองว่าถ้าได้ลงทุนกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ก็ยิ่งเป็นการติดปีกให้กับ DTCENT ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังแสวงหาโอกาสที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศอีกในอนาคต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ธ.ค. 65)
Tags: DTCENT, IPO, ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์, ทศพล คุณะเพิ่มศิริ, หุ้นไทย