“ทิม เดรเปอร์” คาดบิตคอยน์พุ่งแตะ $250,000 กลางปีหน้า

นายทิม เดรเปอร์ นักลงทุนระดับมหาเศรษฐีพันล้าน คาดการณ์ว่า บิตคอยน์จะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 250,000 ดอลลาร์ในกลางปี 2566 โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งจะขับเคลื่อนราคาต่อไป

ก่อนหน้านี้ นายเดรเปอร์คาดว่าบิตคอยน์จะดีดตัวเหนือระดับ 250,000 ดอลลาร์ในช่วงปลายปีนี้ แต่เขาขอขยายเวลาคาดการณ์ออกไป

“ผมขอขยายเวลาคาดการณ์ออกไปอีก 6 เดือน โดยผมยังคงยืนยันตัวเลข 250,000 ดอลลาร์” นายเดรเปอร์ระบุ

อย่างไรก็ดี การที่บิตคอยน์จะพุ่งแตะ 250,000 ดอลลาร์ตามที่นายเดรเปอร์คาดการณ์ หมายความว่าบิตคอยน์จะต้องพุ่งขึ้นถึง 1,400% จากปัจจุบันที่ระดับ 17,000 ดอลลาร์

การคาดการณ์ของนายเดรเปอร์สวนทางธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ซึ่งออกรายงานเตือนว่า บิตคอยน์อาจดิ่งลงแตะระดับ 5,000 ดอลลาร์ในปีหน้า

ทั้งนี้ นายเอริค โรเบิร์ตเซน หัวหน้านักวิจัยระดับโลกของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานชื่อ “เรื่องเซอร์ไพรส์ของตลาดการเงินในปี 2566” หรือ “The financial-market surprises of 2023” ซึ่งได้ระบุถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งตลาดได้มองข้ามไป

หนึ่งในเหตุการณ์ในรายงานดังกล่าวคือการที่บิตคอยน์จะทรุดตัวลงสู่ระดับ 5,000 ดอลลาร์ ซึ่งหากเป็นจริงตามรายงาน ก็หมายความว่าบิตคอยน์จะดิ่งลงราว 70% จากในขณะนี้ที่ระดับ 17,000 ดอลลาร์

“แรงเทขายบิตคอยน์จะรุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทคริปโทฯ และกระดานเทรดจำนวนมากเผชิญกับการขาดแคลนสภาพคล่อง ทำให้เกิดการล้มละลายมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัล” รายงานระบุ

ทั้งนี้ บิตคอยน์ได้ทรุดตัวลงมากกว่า 60% ในปีนี้ หลังจากเผชิญกับข่าวอื้อฉาวมากมายเกี่ยวกับการล่มสลายของอุตสาหกรรมคริปโทฯ โดยล่าสุด BlockFi แพลตฟอร์มกู้ยืมคริปโทฯระดับโลก ประกาศล้มละลายตามรอย FTX แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ ใหญ่อันดับ 2 ของโลก

นายมาร์ค โมเบียส ผู้ก่อตั้งบริษัทโมเบียส แคปิตัล พาร์ทเนอร์ส กล่าวก่อนหน้านี้ว่า บิตคอยน์ยังคงมีแนวโน้มดิ่งลงต่อไปแตะระดับ 10,000 ดอลลาร์ในปีหน้า โดยได้รับผลกระทบจากการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ นายโมเบียสกล่าวว่า เขาจะไม่นำเงินของตนเอง หรือเงินของลูกค้าไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากมีความเสี่ยงมากเกินไป

บิตคอยน์เคยพุ่งขึ้นทะลุ 69,000 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย.2564 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่จะทรุดตัวลงต่ำกว่าระดับ 20,000 ดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.2565 ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุลจะฉุดสภาพคล่องในตลาด และทำให้สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ธ.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top