ผลสำรวจโดยบริษัทโอลิเวอร์ ไวแมนเปิดเผยในวันนี้ (6 ธ.ค.) ว่า ชาวจีนมากกว่าครึ่งระบุว่า พวกเขาจะชะลอแผนการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศออกไปตั้งแต่หลายเดือนจนถึงมากกว่า 1 ปี แม้ทางการจีนทำการเปิดพรมแดนตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็ตาม ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า การฟื้นตัวของภาคผู้บริโภคหลังจากการใช้มาตรการคุมเข้มโควิด-19 นั้น ยังคงต้องใช้เวลา
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า จีนยังคงเดินหน้าดำเนินมาตรการตรวจเชื้อโควิด-19 แบบพีซีอาร์ (PCR) และการกักตัวกับนักเดินทางขาเข้า แม้ว่าได้ผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในประเทศบางส่วนแล้วก็ตาม หลังจากเกิดการประท้วงอย่างไม่คาดคิดเมื่อเดือนที่แล้ว
ผลสำรวจความคิดเห็นชาวจีน 4,000 คนระบุว่า ความวิตกกังวลต่อการติดเชื้อโควิด-19 เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเลื่อนการเดินทางเยือนต่างประเทศออกไป ในขณะที่ความกังวลที่มีต่อข้อปฏิบัติในการเดินทางกลับเข้าประเทศเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 2
นางอิมเค เวาเทอร์ส หุ้นส่วนด้านการค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภคของบริษัทโอลิเวอร์ ไวแมนกล่าวว่า “ประชาชนระมัดระวังตัวมากขึ้น ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาสามารถออกไปท่องเที่ยวได้แล้ว แต่เราคิดว่า พวกเขาจะยังไม่ไปโดยทันที”
ข้อมูลจากรายงาน “การฟื้นตัวของการบริโภคของจีน” (China Consumption Recovery) ระบุว่า 51% ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนที่จะชะลอการเดินทางระหว่างประเทศ และหากชาวจีนพร้อมเดินทางเมื่อใด จุดหมายปลายทางระยะสั้นจะได้รับประโยชน์เป็นอันดับแรก
ก่อนหน้านี้ จีนเคยเป็นตลาดการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ทว่าในปี 2562 นักเดินทางชาวจีนซึ่งใช้จ่ายเงิน 1.275 แสนล้านดอลลาร์ไปกับการเดินทางดังกล่าว กลับหดหายไปเกือบหมด หลังจากปิดพรมแดนระหว่างประเทศในช่วงต้นปี 2563 และจำกัดการเดินทางที่ไม่จำเป็นของประชาชน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ธ.ค. 65)
Tags: จีน, ท่องเที่ยว, มาตรการคุมโควิด