น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหา บมจ.การบินไทย (THAI) ซึ่งมีแนวโน้มการดำเนินที่ดีขึ้นต่อเนื่องภายหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย โดยสามารถเพิ่มความถี่เที่ยวบินใน 6 เดือนแรกของปี 65 และกลับไปทำการบินในเส้นทางเดิมก่อนการเกิดโรคระบาด
โดยในไตรมาสที่ 3/65 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,920 ล้านบาท เทียบกับที่ขาดทุน 5,310 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 64 และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBIDA) 6,181 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 ที่ขาดทุน 3,100 ล้านบาท
ส่วนในเดือน ต.ค.65 การบินไทยและสายการบินไทยสมายล์มีผู้โดยสารต่างประเทศเฉลี่ยต่อวัน 21,558 คน คิดเป็น 30% ของผู้โดยสารต่างประเทศที่ผ่านเข้า-ออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีส่วนแบ่งการขนส่งสินค้าคิดเป็น 28% ของปริมาณการขนส่งสินค้าเข้า-ออก ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนในเดือน พ.ย.-ธ.ค.ก็มีอัตราการสำรองที่นั่งล่วงหน้าระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มการเติบโตดังกล่าว ทำให้ ณ วันที่ 15 พ.ย.65 บริษัทฯ มีเงินสดคงเหลือ 32,031 ล้านบาท
ทั้งนี้ ด้วยสถานะการดำเนินงานที่ดีขึ้น ทำให้ความต้องการใช้สินเชื่อใหม่ของบริษัทฯ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการได้ปรับลดจาก 50,000 ล้านบาท เหลือ 25,000 ล้านบาท ซึ่งแยกเป็นความต้องการสินเชื่อระยะยาวและสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้นประเภทละ 12,500 ล้านบาท
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพฝูงบินและปรับลดต้นทุนอากาศยานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีอากาศยานที่อยู่ในการปฏิบัติการบินรวม 61 ลำ ซึ่งด้วยการเติบโตของปริมาณความต้องการเดินทาง จึงมีการนำอากาศยานที่อยู่ในฝูงบินกลับมาให้บริการใหม่รวม 5 ลำ ได้แก่ โบอิ้ง 777-200ER จำนวน 2 ลำ และแอร์บัส 330-300 จำนวน 3 ลำ
นอกจากนี้ บริษัท ยังได้ลงนามในสัญญาเช่าอากาศยานแบบแอร์บัส 350-900 แล้วจำนวน 2 ลำ และได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงในการเช่าอากาศยานแบบแอร์บัส 350-900 อีก 2 ลำ อยู่ระหว่างการขออนุญาตเข้าประจำการในฝูงบินต่อสำนักงานการบินพลเรือนและกระทรวงคมนาคม โดยคาดว่าอากาศยานทั้ง 4 ลำ จะเริ่มเข้าให้บริการได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/66 ซึ่งจะทำให้ในปี 66 บริษัทฯ จะมีอากาศยานที่นำมาบริการรวม 70 ลำ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนงานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างทุน โดยจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนไม่เกิน 31,500 ล้านหุ้น เพื่อให้ส่วนทุนเป็นบวก สร้างความมั่นคงทางการเงิน และให้หุ้นของบริษัทฯ สามารถกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยแบ่งเป็นการออกหุ้นเสนอขายแก่กลุ่มต่างๆ 5 กลุ่ม ได้แก่
1) หุ้นจำนวน 4,911 หุ้น สำหรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Share Option) ของผู้สนับสนุนสินเชื่อใหม่ เฉพาะผู้ให้สินเชื่อระยะยาว ในจำนวนเดียวกับจำนวนหนี้ที่เบิกใช้จริง หรือการเลือกชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยแปลงหนี้เงินต้นเดิมตามแผนเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น
2) หุ้นจำนวน 5,040 ล้านหุ้น สำหรับการแปลงหนี้เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อชำระหนี้เงินต้นคงค้างของเจ้าหนี้กลุ่มที่4 (กระทรวงการคลัง) ในสัดส่วน 100% ของภาระหนี้เงินต้นคงค้าง (ประมาณ 12,827 ล้านบาท) ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น
3) หุ้นจำนวน 9,822 ล้านหุ้น สำหรับการแปลงหนี้เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อชำระหนี้เงินต้นคงค้างแก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5 (เจ้าหนี้สถาบันการเงินที่มีสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิในการได้รับเงินจากการขายเครื่องบิน) เจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 (เจ้าหนี้สถาบันการเงินไม่มีประกัน) และเจ้าหนี้กลุ่มที่ 18-31 (เจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้) ในสัดส่วน 24.50% ของภาระหนี้เงินต้นคงค้าง
4) หุ้นจำนวน 1,904 ล้านหุ้น สำหรับการใช้สิทธิแปลงหนี้ดอกเบี้ยใหม่ตั้งพักเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4-6 และเจ้าหนี้กลุ่มที่ 18-31 ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น
5) หุ้นจำนวน 9,822 ล้านหุ้น สำหรับการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นเดิม โดยไม่จัดสรรและเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ (Preferential Public Offering) ที่ราคาไม่ต่ำกว่า 2.5452 บาทต่อหุ้น โดยในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิไม่เต็มจำนวน จะนำหุ้นไปเสนอขายแก่พนักงานบริษัท การบินไทยฯ และเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด(Private Placement) ตามลำดับ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ภายใต้การดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการ การบินไทยได้ขอรับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ให้พิจารณาใช้สิทธิการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนที่ บริษัทฯ จะออกเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อให้บริษัทฯ มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการกลับมาซื้อขายหุ้นในตลาดได้ตามปกติ ซึ่งผลจากการใช้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวจะส่งผลให้กระทรวงการคลังมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 32.7% และหากรวมการถือหุ้นของธนาคารของรัฐอื่นๆ อีก 10.4% จะทำให้เป็นไปตามแผนการฟื้นฟูกิจการที่ต้องการให้ให้รัฐถือหุ้นในการบินไทยไม่น้อยกว่า 40%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 พ.ย. 65)
Tags: THAI, การบินไทย, ประชุมครม., มติคณะรัฐมนตรี, หุ้นไทย, ไตรศุลี ไตรสรณกุล