นายกฯ หวังผู้นำเอเปครับรองเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวเปิดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 ภายใต้หัวข้อ “การเจริญเติบโตที่สมดุล ครอบคลุม และยั่งยืน (Balanced, Inclusive and Sustainable Growth)” ว่า หวังว่าผู้นำทุกประเทศมีความสุขกับค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองผู้นำเขตเศรษฐกิจที่ทางประเทศไทยจัดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา และทุกคนจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นเกียรติที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ หลังจากไม่ได้พบหน้ากันถึง 4 ปี และการประชุมเอเปคต่อจากนี้จะเป็นการร่วมมือกันฟื้นฟูและนำพาภูมิภาคนี้ไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น

ในวันนี้จะหารือกันว่า เอเปคควรทำอย่างไรเพื่อจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน จนถึงปัจจุบันยังต้องต่อสู้กับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และถูกซ้ำเติมจากความท้าทายของสถานการณ์โลก ที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบ ไม่ใช่แค่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงมนุษยชาติทั้งหมด จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันบรรเทาผลกระทบและปกป้องโลกของเรา โดยไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีกต่อไป ดังนั้นทุกคนจะต้องปรับมุม วิธีการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจแบบใหม่

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ประเทศไทยได้นำแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติมาเป็นยุทธศาสตร์ในการฟื้นฟูจากผลกระทบโควิด-19 และเป็นแผนแม่บทสำหรับการพัฒนา และการเติบโตในระยะยาว ที่เข้มแข็ง สมดุล ยั่งยืนและครอบคลุม เศรษฐกิจBCG จะประสานแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวเข้าด้วยกัน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อที่จะสร้างคุณค่าเพิ่มประสิทธิภาพ ในการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่า และส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย

– เศรษฐกิจชีวภาพ เกี่ยวข้องกับการผลิตที่เน้นการนำเทคโนโลยีนวัตกรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มกับสินค้า ที่เป็นทรัพยากร และวัตถุดิบชีวภาพ ที่ใช้แล้วไม่มีวันหมดไป

– เศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นระบบการผลิตและการบริโภคสินค้า บริการ โดยมีการวางแผนและการออกแบบระบบ ให้ความสำคัญกับการลดขยะ ในขณะเดียวกันต้องพยายามใช้วัตถุดิบซ้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

– เศรษฐกิจสีเขียว คือ การส่งเสริมพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบ และแนวคิดเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งสร้างผลกำไรควบคู่กับการสร้างสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและสังคมด้วย โดยแนวทางทั้ง 3 ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้แนวคิดเศรษฐกิจ BCG แตกต่างออกไปคือ การตระหนักว่าความท้าทาย หลากหลายที่ผสมอยู่ เชื่อมโยงคาบเกี่ยวกัน ดังนั้นการแก้ปัญหา จึงจะต้องไม่เป็นแบบแยกส่วน ด้วยเหตุนี้เศรษฐกิจ BCG จึงให้ความสำคัญ และไทยผลักดัน 3 แนวทางดังกล่าวอย่างเป็นองค์รวม เพื่อเป็นผลลัพธ์ที่มีผลทวีคูณและหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ได้อย่างเสียอย่าง

นายกรัฐมนตรี หวังว่า การสร้างความร่วมมือและการมีความร่วมมือของทุกภาคส่วน จะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เป็นรูปธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และฟื้นความสมดุล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นไทยเชื่อว่าแนวคิดเศรษฐกิจ BCG มีความเป็นสากล

การที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค จึงขอเสนอแนวคิดนี้เข้าสู่การพูดคุยกันในกรอบการประชุม ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ และทำให้ความพยายามของเอเปคในการขับเคลื่อนภูมิภาคไปข้างหน้า ตอบสนองความท้าทาย ที่เร่งด่วนในปัจจุบันบนพื้นฐานของแนวคิดเศรษฐกิจ BCG

ทั้งนี้ ไทยยังได้ริเริ่มการจัดทำเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG เพื่อเป็นผลลัพธ์แห่งความจดจำ สำหรับการประชุมเอเปค 2565 โดยเป้าหมายกรุงเทพฯ จะเป็นกรอบแนวทาง ผลักดันวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของเอเปคอย่างชัดเจน พลิกโฉม สมดุล และทะเยอทะยาน โดยมุ่งหวังขับเคลื่อนงานภายใต้ 4 เป้าหมายได้แก่ 1.สนับสนุนความพยายามการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ 2.ขับเคลื่อนการค้าการลงทุนอย่างยั่งยืน 3.ผลักดันการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ 4.ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร เพื่อลดขยะให้เป็นศูนย์

“ประเทศไทย ขอขอบคุณที่ผู้นำเศรษฐกิจที่จะสนับสนุนเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG จนบรรลุฉันทามติด้วยดี และหวังว่าผู้นำทุกคน จะได้ร่วมกันรับรองเอกสารสำคัญดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นมรดกสำคัญของการประชุมเอเปค ประจำปี 2565 เพื่อต่อยอดเป้าหมายกรุงเทพฯ จึงอยากเสนอให้ทุกคนหารือกันว่า แนวคิดเศรษฐกิจ BCG จะสามารถแปลงวิสัยทัศน์และทิศทางตามที่ระบุไว้ในวิสัยทัศน์ปุตราจายาของเอเปค ค.ศ.2040 และแผนปฎิบัติการ ROTROR ไปสู่การดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง”

นายกรัฐมนตรี กล่าว

ดังนั้น เอเปคต้องมองให้ไกลกว่าการฟื้นตัวของการระบาดโควิด-19 ไปสู่การฟื้นสร้างสภาพแวดล้อมให้มีความยืดหยุ่น และเอื้อต่อการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน ในฐานะกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจชั้นนำของเรา และแหล่งบ่มเพาะทางความคิด โดยเอเปคจะเร่งสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพ เอื้อประโยชน์ทุกคนอย่างเป็นรูปธรรมแก่ทุกคนในระยะยาว แล้วเราจะร่วมมือให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร เพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจ ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และเราจะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนของเราปรับมุมมองและเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นผู้บริโภค และพลเมืองของโลกที่มีความรับผิดชอบได้อย่างไร จึงขอรับฟังความคิดเห็นของผู้นำเศรษฐกิจทุกท่าน

สำหรับวันนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดจะหารืออย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับแขกพิเศษ (APEC Leaders’ Informal Dialogue with Guests) ภายใต้หัวข้อ “การค้าและการลงทุนที่ยั่งยืน ระหว่างเอเปคกับหุ้นส่วนด้านการค้า” ประกอบด้วยประเทศฝรั่งเศส กัมพูชา และซาอุดิอาระเบีย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะหารือทวิภาคีกับ Ms. Kristalina Georgieva ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF จากนั้นจะเป็นการหารือระหว่างอาหารกลางวัน ระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับแขกพิเศษ (Working Lunch) ภายใต้หัวข้อ “การส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤตเงินเฟ้อ”

ส่วนช่วงบ่าย เป็นการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค กับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) โดยช่วงหารือเต็มคณะ ABAC Chair จะนำเสนอรายงานประจำปีต่อผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะกล่าวตอบเกี่ยวกับความคาดหวัง และแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อสร้างการเจริญเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และครอบคลุม

ต่อด้วยการหารือกลุ่มย่อย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วย ผู้นำ 4 เขตเศรษฐกิจ และผู้แทน ABAC 10 คน โดยแต่ละกลุ่มหารือในหัวข้อเดียวกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมรับฟังผลสรุปของแต่ละกลุ่ม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 พ.ย. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top