ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) มองว่า อุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการบริโภคเนื้อไก่ ทั้งจากตลาดในประเทศและตลาดส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้นตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในหลายประเทศ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายต่างๆ เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 66 ที่อาจชะลอลงกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภค
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทย ผลิตเพื่อป้อนความต้องการของตลาดภายในประเทศเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนราว 70% ของผลผลิตไก่ทั้งหมดในประเทศ ดังนั้น การบริโภคในประเทศจึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรม ส่วนที่เหลืออีกราว 30% เป็นการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นตลาดในภูมิภาคเอเชีย
ขณะที่การบริโภคเนื้อไก่ในประเทศ ทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาเป็นปกติมากขึ้น ส่วนราคาขายปลีกไก่สดชำแหละก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น สอดรับกับความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
EIC มีมุมมองว่า การบริโภคเนื้อไก่ในประเทศของปี 66 ทั้งในส่วนเนื้อไก่แช่เย็นแช่แข็ง และเนื้อไก่ปรุงสุกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดอัตราการเติบโตที่ 2.9%YOY ตามการทยอยฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ความต้องการบริโภคจากภาคครัวเรือนและภาคบริการปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย รวมถึงปัจจัยหนุนจากการที่เนื้อไก่ถือเป็นอาหารประเภทโปรตีนที่มีความจำเป็น เนื่องจากมีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ จึงทำให้ครัวเรือนในทุกระดับรายได้สามารถเข้าถึงได้
ในส่วนของการส่งออกไก่ของไทย ก็มีแนวโน้มเติบโตดีเช่นเดียวกัน และเป็นการขยายตัวดีในเกือบทุกตลาดส่งออกหลัก โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากความต้องการบริโภคในตลาดโลกที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมทั้งอานิสงส์จากนโยบายเปิดประเทศ การทยอยรับรองมาตรฐานโรงงานส่งออกไก่ของไทย และการส่งออกเพื่อทดแทนคู่แข่งอย่างมาเลเซีย ที่ระงับการส่งออกไก่ชั่วคราวจากปัญหาขาดแคลนไก่ในประเทศ
EIC ประเมินแนวโน้มมูลค่าการส่งออกไก่ของปี 66 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องที่ราว 10.5%YOY ขณะที่ภาพรวมการส่งออกในระยะ Medium-term มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก
ส่วนผลผลิตไก่เนื้อของไทยในปี 66 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 2%YOY ตามความต้องการบริโภค ที่คาดว่าจะขยายตัวสูงขึ้นทั้งจากตลาดในประเทศและตลาดส่งออก สอดคล้องกับการทยอยฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยคาดว่าไทยจะผลิตไก่เนื้อได้ในปริมาณราว 1,610 ล้านตัว
ขณะที่ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้ ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากปีนี้ สอดคล้องกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น, โรคระบาดในสุกร หรือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่ยังคงยืดเยื้อ และต้นทุนการเลี้ยงไก่ที่คาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยหนุนสำคัญต่อแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมไก่เนื้อในระยะต่อไป ได้แก่
1. การแพร่ระบาดของโรค ASF ที่ยังคงยืดเยื้อในหลายประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย จะยังเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อความต้องการบริโภคเนื้อไก่ในฐานะสินค้าทดแทนในช่วง 1-2 ปีนี้
2. การถอนตัวออกจากสมาชิกของสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) โดยการส่งออกสินค้าต่างๆ รวมทั้งไก่ ไปยังตลาดอังกฤษมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อาจได้รับปัจจัยหนุนจากการบรรลุข้อตกลงเสรีทางการค้า (FTA) ร่วมกันในอนาคต รวมทั้งอานิสงส์จากโครงสร้างอัตราภาษีใหม่ของอังกฤษ หลังจาก Brexit ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair competition) และส่งเสริมให้เกิดการค้าระหว่างกันมากขึ้น
3. การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย การส่งออกสินค้าไก่ไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้า ซึ่งอาจปูทางไปสู่การจัดทำ FTA ในระยะต่อไป
4. การทยอยรับรองมาตรฐานโรงงานแปรรูปและส่งออกไก่ของไทย โดยในช่วงที่ผ่านมา ประเทศคู่ค้าของไทยได้ทยอยรับรองมาตรฐานโรงงานไก่ของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นว่าการผลิตไก่เนื้อของไทยมีมาตรฐานในระดับสากลตลอดทั้งกระบวนการผลิต ซึ่งเปิดโอกาสให้ไทยสามารถส่งออกไก่ไปยังตลาดต่างๆ ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านลบอื่นๆ ร่วมด้วย ทั้งในส่วนของปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ อัตราเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง และการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมไก่เนื้อ เช่น ข้อกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) โรคระบาดในสัตว์ปีก และการแข่งขันจากสินค้าทดแทนใหม่ๆ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยลบเหล่านี้อาจส่งให้ความต้องการบริโภคเนื้อไก่ชะลอตัวลงได้
EIC มองว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไก่เนื้อ จำเป็นต้องปรับแผนธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านต่างๆ รวมทั้งตอบโจทย์ผู้บริโภคและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต เช่น การพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานการผลิตของอุตสาหกรรมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและลดอุปสรรคทางการค้าด้านต่างๆ
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการมองหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากจนเกินไป และหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในตลาดส่งออกดั้งเดิม หรือแม้แต่การให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่ที่มีความแปลกใหม่และมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อรับมือกับแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ต.ค. 65)
Tags: SCBEIC, ส่งออกไก่, อุตสาหกรรมไก่เนื้อ, ไก่เนื้อ