นายกฯ ดัน 3 แกนหลักพัฒนาชาติ ชูระบบรางสู้โตเกียว-ลอนดอน,ยอมแข็งกร้าวแล้วต้องเสียเพื่อน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Accelerating Thailand (พลิกโฉมประเทศไทย) ว่า หลักการสำคัญที่ใช้เป็นแนวทางการทำงาน คือ “ทำให้สำเร็จ” เพื่อให้สิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นจริง เตรียมความพร้อมให้ประเทศสำหรับอนาคตเพื่อคนรุ่นใหม่ ซึ่งต้องวางรากฐานตั้งแต่วันนี้

ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีปัญหามากคือ เรื่องปัญหาทางการเมือง ซึ่งทำให้รัฐบาลหลายยุคหลายสมัยมีความยากลำบากในการทำเรื่องสำคัญที่จำเป็นต่อการเดินหน้าประเทศ ผลที่ตามมา คือ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีระดับโลกค่อยๆลดลง คนไทยกว่า 70 ล้านคนเสียโอกาสมากมาย ทั้งๆที่เราอยู่ในประเทศที่พร้อมทุกอย่าง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้มีเป้าหมายให้ประเทศเดินไปข้างหน้าบนเส้นทางเติบโตและเจริญรุ่งเรืองทุกหย่อมหญ้า และต้องยั่งยืน และเป็นเส้นทางที่คนไทยทุกคนต้องจับมือไปด้วยกันและจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านและสังคมโลกด้วย รัฐบาลจึงให้ความสำคัญพุ่งเป้าไปที่การยกระดับความมั่งคั่งของประเทศ กระจายความเจริญรุ่งเรืองไปทุกพื้นที่ ทุกระดับในสังคม สร้างพื้นฐานที่ทำให้แข็งแรง และเดินหน้าไปสู่การปรับแก้ประเด็นทางสังคม ทั้งเรื่องความยุติธรรม ความเท่าเทียม และโอกาสในการเข้าถึงการทำมาหากิน สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานทำให้สังคมอยู่ด้วยความสงบสุขและมั่นคง เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่นำพาประเทศไปข้างหน้า

รัฐบาลได้ขับเคลื่อนกลยุทธ์ 3 แกน ประกอบด้วย แกนที่ 1 โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ จะทำให้เพิ่มมูลค่าสินค้า และสามารถนำนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่างๆได้มากขึ้น และเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนทำมาหากินได้มากยิ่งขึ้น โดยในปี 2015 ได้ริเริ่มโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางอย่างบูรณาการ เป็นการจิ๊กซอใหญ่เมื่อประกอบเสร็จทุกส่วนและเปิดให้บริการจะเป็นการเปิดประตูเดินหน้าสู่ยุคแห่งความรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งของประเทศไทย

แกนที่ 2 อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการเกษตรสมัยใหม่ โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลกในอนาคต ดังนั้นประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมและก้าวสู่เทรนด์โลกนี้ให้ได้ เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของโลกในการสร้างความมั่งคั่งได้อีกเป็น 10 ปีนับจากนี้ไป สร้างงาน สร้างโอกาส และรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย

ผู้ผลิตยานยนต์ เลือกหาที่ตั้งโรงงานผลิต ดังนั้น เราต้องเดินหน้าให้เร็วกว่าประเทศอื่นๆในการดึงฐานการผลิตเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตนพยายามขับเคลื่อนสุดกำลัง เพื่อให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ๆของโลกมาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย และต้องรักษาผู้ผลิตยานยนต์ที่อยู่ในไทยอยู่แล้วยังคงตั้งฐานการผลิตในไทยต่อไป และทำให้โรงงานการผลิตที่นี้ ให้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดของโลก

“หากเราทำสำเร็จจะทำให้ไทยอยู่บนเส้นทางการเจริญเติบโตต่อไปอีก 20-30 ปีข้างหน้า และจะส่งผลให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางแห่งเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องตามมาด้วย เพราะเมื่อมีผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามา เราก็จะได้บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทซอฟต์แวร์ และบริษัทในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ตามมาด้วย เพื่อให้ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามีความมั่นคงในระยะยาว ประเทศไทยจะไม่ใช่เป็นเพียงประเทศผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญเท่านั้น แต่จะกลายเป็นประเทศเทคโนโลยีที่สำคัญด้วย”

สำหรับการเกษตรสมัยใหม่ จะเร่งนำเทคโนโลยี งานวิจัย และนวัตกรรม มาใช้ในการปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อให้เกิดผลผลิตมากขึ้นในพื้นที่เพาะปลูกที่มีอยู่ และมุ่งไปสู่ “เกษตรปลอดภัย” เกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี Smart Farming ได้ทั่วถึงมากขึ้น และจะส่งเสริมให้เกษตรกร และกลุ่มเกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี งานวิจัย และเครื่องจักรกลทางการเกษตร และแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และเกษตรกร ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และราคาสูงขึ้น มีรายได้มากขึ้น

สำหรับแกนที่ 3 ของกลยุทธ์ ที่จะช่วยสร้างความรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน คือ ภาคการธนาคาร ซึ่งเป็นภาคส่วนที่รัฐบาลส่วนใหญ่มักเลือกที่จะไม่แตะต้อง แต่ภาคการธนาคารจะช่วยประเทศได้อย่างมาก และธนาคารต่างๆ เองก็รู้ว่าการเติบโตในระยะยาวไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเจริญของประเทศเพียงเท่านั้น แต่ต้องเกิดเป็นวงกว้างและเท่าเทียมด้วย ซึ่งขณะนี้ยังมีประชากรไทยเกินครึ่งไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยุคนี้คือยุคสมัยของคนรุ่นใหม่ที่ฉลาดและมีหัวการค้า มีคนที่พร้อมสร้างธุรกิจใหม่ๆ ธุรกิจดีๆ แห่งอนาคต นับพัน นับหมื่นธุรกิจ ตลอดจนผู้คนที่ทำงานอิสระในโลกเศรษฐกิจดิจิทัล และอีกหลายล้านคนที่ค้าขายหรือทำมาหากินด้วยตัวเอง มีกิจการเล็กๆ หลากหลาย หากสามารถช่วยคนเหล่านี้ได้ก็จะปลดล็อกศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะวันนี้พวกเขายังมีความยากลำบากในการกู้เงินจากธนาคาร

การประเมินอนุมัติเงินกู้ของธนาคารตามวิธีการแบบเดิมจำเป็นต้องแก้ไข ซึ่งธนาคารพาณิชย์ของไทยมีบทบาทสำคัญในการส่งพลังให้กับคนกลุ่มนี้สร้างความมั่งคั่งได้ และเพื่อช่วยยกระดับความรุ่งเรืองให้กับทั้งประเทศด้วย ถือเป็นหนทางสำคัญที่จะช่วยกระจายความรุ่งเรือง ซึ่งธนาคารต่างประเทศในโลกยุคดิจิทัลนำเอาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาใช้ในการประเมินความสามารถของผู้กู้ แทนเอกสารหรือทรัพย์สินของผู้กู้ เพื่อขยายการปล่อยเงินกู้ให้กับคนในวงกว้างด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม นี่คือก้าวสำคัญ ที่เทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น จะสามารถช่วยคนไทยเป็นล้านๆ คน ให้ก้าวไปสู่ความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ได้ขอให้ธนาคารต่างๆ เร่งหาวิธีการใหม่ๆ นำมาใช้ในการประเมินความสามารถของผู้กู้ ที่เป็นคนตัวเล็ก ธุรกิจค้าขายเล็กๆ และคนที่ทำมาหาเลี้ยงตัวเอง โดยพิจารณาบนพื้นฐานความสามารถ และความตั้งใจที่จะชำระคืนเงินกู้ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาส ให้คนจำนวนหนึ่ง จาก 30 ล้านคนที่ไม่เคยกู้เงินธนาคารได้ ได้มีส่วนร่วมในการสร้างความรุ่งเรืองให้กับประเทศด้วย

“การที่เร่งเครื่องเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และภาคการธนาคารที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เรากำลังเปิด 3 เส้นทางที่เชื่อมต่อถึงกัน เดินหน้าไปสู่โอกาสและความรุ่งเรืองที่จะกระจายไปทั่ว ซึ่งผมเรียกสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ว่า “เชื่อมไทยเดินหน้า” วันนี้ ผมดีใจที่จะบอกว่า เราเดินมาได้ไกลแล้ว ถึงแม้ว่าจะต้องเจอกับโรคระบาดร้ายแรง แต่เรายังคงสู้อยู่บนเส้นทางที่มุ่งไปสู่เป้าหมายของเรา”

นายกรัฐมนตรี ยกตัวอย่างความคืบหน้าในการผลักดันการเติบโตของประเทศตามแนวทางดังกล่าว ขณะนี้ในด้านยานยนต์ไฟฟ้าฟ๊อกซคอนน์ (FOXCONN) หนึ่งในผู้ผลิตเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของโลก ยืนยันกับตนเองว่าจะเข้ามาตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย บริษัท BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ยืนยันแล้วว่าจะตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย นอกจากนั้นยังมี MG, GWM , โวล์ท (Volt) รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยมายาวนาน อย่าง เบนซ์ และ TOYOTA ก็ยืนยันจะใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน

“ผมตั้งเป้าที่จะทำสิ่งต่างๆนี้ให้สำเร็จเรียบร้อยภายในไม่เกิน 12 เดือนข้างหน้านี้ และเมื่อเราทำสำเร็จได้ก็จะเป็นเหมือนเราเร่งเครื่องผ่านเนินเขาช่วงที่ชันที่สุดไปได้ แล้วประเทศไทยก็จะวิ่งต่อไปข้างหน้าสู่การเป็นประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกได้ในที่สุด”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งและด้านดิจิทัล ภายในเวลาอีกเพียง 2 ปีข้างหน้า ท่าเรือแหลมฉบังจะมีขีดความสามารถในการให้บริการเพิ่มอีก 30% และภายในอีก 5 ปีต่อไปศักยภาพของท่าเรือที่เราสร้างได้สำเร็จจะเท่ากับที่เคยใช้เวลาสร้างถึง 40 ปี และรัฐบาลกำลังสร้างระบบรางที่จะช่วยขนส่งสินค้าไปถึงท่าเรือได้สะดวกขึ้นและได้ปริมาณมากขึ้นถึงสามเท่า แทนการขนส่งทางถนนที่มีต้นทุนสูง และกำลังเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของท่าเรือขึ้นอีก 50% เพื่อรองรับการส่งออกยานยนต์จากราว 2 ล้านคันต่อปี เพิ่มเป็น 3 ล้านคันต่อปี

“การดำเนินโครงการที่ใหญ่ยักษ์นี้ ไม่ใช่เป็นแค่การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญเท่านั้น แต่เป็นการทำให้สถานะการเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยแข็งแกร่งมากขึ้น ด้วยการสร้างท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นหนึ่งในห้า Gateway Port ที่ใหญ่ที่สุดของโลก รองรับเรือเดินสมุทรขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นภายใน 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า”พลเอกประยุทธ์ กล่าว

สำหรับสนามบินภายในระยะเวลาเพียงแค่ 7 ปีเพิ่มจำนวนสนามบินนานาชาติมากขึ้นจาก 6 แห่ง เป็น 11 แห่ง และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 7 แห่งภายในเวลาเพียง 36 เดือนข้างหน้า ส่วนระบบรางในเวลา 5 ปีที่ผ่านมาได้ก่อสร้างเส้นทางรถไฟเป็นระยะทางที่มากกว่าระยะทางทั้งหมดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ และภายในอีกแค่ 2 ปีข้างหน้าจะมีเส้นทางรถไฟระยะทางที่มากกว่าถึง 4 เท่า ส่วนระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมือง ทั้งระยะทางและจำนวนสถานีในเมืองที่เคยใช้เวลาสร้างถึง 20 ปี วันนี้ใช้เวลาเพียง 5 ปี ทำได้มากกว่า และกำลังสร้างเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ซึ่งจะเปิดให้บริการได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า

“ผมจะทำให้ระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมืองของกรุงเทพฯ อยู่ในระดับเดียวกับที่โตเกียว และใกล้เคียงกับที่ลอนดอน ในเรื่องของระยะทางและจำนวนสถานี”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ในส่วนของภาคพลังงาน ต้องทำให้มั่นใจว่าเราจะมีพลังงานเพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนด้านต่างๆ สิ่งที่กำลังทำ คือ จะสร้างขีดความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้ามากกว่าขีดความสามารถทั้งหมดที่เคยสร้างในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขีดความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เราจะสร้างกากกว่า 80,000 เมกกะวัตต์ โดยจะมีพลังงานหมุนเวียน 16,000 เมกกะวัตต์ และนได้ให้นโยบายกับกระทรวงพลังงานไปแล้วว่าให้พิจารณาศักยภาพของประเทศไทยในการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมอีก

ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เรากำลังจับมือกับหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของโลก และเป็นผู้ให้บริการคลาวน์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ที่ใหญ่ที่สุดของโลก คือ อเมซอน เว็บ เซอร์วิส ได้ยืนยันว่าจะมาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคที่ประเทศไทย ซึ่งจะนำเงินลงทุนต่างชาติเข้าประเทศไทยอย่างมหาศาลที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยด้วยจำนวนเงินมากถึง 1.9 แสนล้านบาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการต่างๆ ภายใต้กลยุทธ์ 3 แกนดังกล่าวเป็นโครงการที่ตนเองมุ่งมั่นและให้ความสำคัญ เพื่อนำความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมาสู่ประเทศไทย และเนื่องจากส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบท จึงไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้ง่ายจนกว่าโครงการต่างๆ เหล่านั้นจะแล้วเสร็จ เชื่อมต่อและเริ่มเปิดให้บริการ ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนหลายล้านคนและรวมถึงส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ

โครงการต่างๆ ลักษณะแบบนี้ได้เคยมีการคิดวางแผนมาแล้วมากมาย แต่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลัก คืออาจจะไม่มีผู้นำที่พร้อม ที่เมื่อถึงเวลาจำเป็น สามารถตัดสินใจเด็ดขาดและสั่งการเพื่อให้งานเดินหน้าได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จังหวะนิ่งและอดทน เห็นใจข้าราชการที่ต้องเดินตามขั้นตอนกระบวนการที่ซับซ้อน และจำเป็นต้องกำกับติดตามไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทาง ต้องผสมผสานทั้งความเด็ดขาด ความเข้าใจ และความอดทน เพื่อทำให้ทุกคนตกลงร่วมกันทำตามแผนให้เกิดขึ้นจริง

“เมื่อผมทำงานในสไตล์นี้อาจสงสัยว่า ทำไมบางทีใจร้อนเกินไป หรือบางทีใจเย็นเกินไป ก็เพราะผมพยายามผสมผสานความแข็งกร้าวเพื่อที่จะให้งานเดินหน้ากับความยืดหยุ่นเพื่อที่จะให้หลายกลุ่มหลายฝ่ายเดินไปด้วยกันได้ ซึ่งแน่นอนว่าหลายครั้งผมอาจจะไม่ได้ทุกอย่างตามที่ผมต้องการ นจึงต้องเรียงลำดับความสำคัญว่าอะไรที่ผมต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ และอะไรที่ผมควรปล่อยผ่านไปก่อน

ผมตระหนักดีว่า บางครั้งความแข็งกร้าวของผม ทำให้ผมต้องเสียเพื่อน แต่มันเป็นสิ่งที่ผมต้องยอมแลก เพื่อจะทำสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับประเทศ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ วันนี้ ผมจึงขอให้ท่านเข้าใจในความตั้งใจของผมที่พยายามที่จะขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ต.ค. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top