เวิลด์แบงก์คาดราคาพลังงานลด 11% ปีหน้า จากผลพวงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ธนาคารโลกเปิดเผยรายงานแนวโน้มตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Markets Outlook) ฉบับล่าสุดในวันพุธ (26 ต.ค.) ระบุว่า ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลง 11% ในปี 2566 หลังจากที่พุ่งขึ้น 60% ในปี 2565 อันเนื่องมาจากการที่รัสเซียส่งกำลังทหารเข้าทำสงครามในยูเครน ขณะเดียวกันธนาคารโลกคาดว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และมาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมโรคโควิด-19 ในจีน อาจจะส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวลงรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์โดยเฉลี่ยในปี 2566 จะอยู่ที่ 92 ดอลลาร์/บาร์เรล และจากนั้นจะลดลงสู่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 2567 อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีซึ่งอยู่ที่ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล

ธนาคารโลกระบุว่า ยอดการส่งออกน้ำมันของรัสเซียอาจลดลงมากถึง 2 ล้านบาร์เรล/วัน เนื่องจากสหภาพยุโรป (EU) คว่ำบาตรผลิตภัณฑ์น้ำมันและก๊าซของรัสเซีย ประกอบกับข้อจำกัดด้านการประกันภัยและการขนส่ง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ธ.ค.ปีนี้

นอกจากนี้ การที่ประเทศกลุ่ม G7 เสนอให้มีการควบคุมเพดานราคาน้ำมันนำเข้าจากรัสเซีย ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันจากรัสเซียด้วย อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวจะต้องได้รับฉันทมติจากชาติสมาชิก G7 ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

ธนาคารโลกยังระบุด้วยว่า การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และการร่วงลงของค่าเงินในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่นั้น เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาอาหารและเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนทั่วโลกกว่า 200 ล้านคนเผชิญกับความไม่มั่นคงด้านอาหาร

นายอัยฮัน โกเซ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานดังกล่าวเปิดเผยว่า การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการอ่อนค่าของสกุลเงินเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศพุ่งสูงขึ้น พร้อมกับแนะนำให้ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาเตรียมรับมือกับภาวะผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดการเงินและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก

นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังคาดการณ์ด้วยว่า ราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินจะปรับตัวลงในปี 2566 จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 แต่คาดว่าราคาถ่านหินในออสเตรเลียและราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐจะพุ่งขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีภายในปี 2567 และคาดว่าราคาก๊าซในยุโรปจะพุ่งขึ้นเกือบ 4 เท่า

ส่วนการผลิตถ่านหินนั้น ธนาคารโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่พากันเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายในการลดโลกร้อน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ต.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top