นางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 66 มีโอกาสเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,000 ล้านบาท โดยจะได้รับปัจจัยหนุนจากการรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจเฮลท์แคร์ (Healthcare) มูลค่าราว 500-700 ล้านบาท หลังจากที่ บริษัทเข้าซื้อหุ้น บริษัท เทวกรรมโอสถ จำกัด สัดส่วน 50% ตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค. นี้ เป็นต้นไป
ขณะที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้ซื้อสินทรัพย์กลุ่มผลิตภัณฑ์ consumer healthcare ภายใต้ตราสินค้า Neoplast, Neobun, Neotape, Mentopas ซึ่งประกอบไปด้วยแผ่นพลาสเตอร์ปิดแผล แผ่นปิดบรรเทาปวด แผ่นผ้าพันกล้ามเนื้อ เจลลดความร้อน และ แผ่นแอลกอฮอล์ เป็นต้น จากบริษัท 3M ประเทศไทย จำกัด รวมถึงซื้อที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างจาก บริษัท นีโอเร็กซ์ กรุ๊ป จำกัด โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/65
การลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Healthcare ถือว่าเป็นการช่วยเพิ่มช่องทางการรับรู้รายได้และผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยมีทั้งการรับรู้รายได้จากทั้งกลุ่ม B2B และ กลุ่ม B2C ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Healthcare มีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 50% สูงกว่ากลุ่มธุรกิจกาวอุตสาหกรรม และ กลุ่มธุรกิจผลิตสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นราว 25%
ส่วนธุรกิจเดิมคือ กลุ่มธุรกิจกาวอุตสาหกรรม คาดว่าจะมีรายได้ราว 700 ล้านบาท และ กลุ่มธุรกิจผลิตสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวคาดว่าจะมีรายได้ราว 700-800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศ หลังจากนักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานดารณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจจะเข้ามามีผลกระทบต่อภาพรวมผลประกอบการบริษัทได้
ด้านภาพรวมตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ Healthcare คาดว่าจะมีการเติบโตเฉลี่ย 10-12% ต่อปี ภาพรวมตลาดกลุ่มกาวอุตสาหกรรมคาดว่าจะมีการเติบโตเฉลี่ย 4-5% ต่อปี และ ภาพรวมตลาดสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวคาดว่าจะมีการเติบโตเฉลี่ย 5-6% ต่อปี
“กลุ่มสินค้า Healthcare เป็นหนึ่งในเป้าหมายการลงทุนของบริษัทอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงและยังสามารถเติบโตได้ในระยะยาว เพราะประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้จำเป็นต้องมีการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ขณะที่ระบบประกันสุขภาพของไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สถานการการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้น หนุนความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ใป้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นด้วย”นางสาวยุวดี กล่าว
สำหรับภาพรวมผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/65 จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/65 ที่มีผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามทิศทางราคาวัตถุดิบได้เริ่มปรับตัวลดลงมาบ้างแล้ว ขณะที่กลุ่มธุรกิจเดิมเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ยังสามารถรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare เข้ามาบางส่วนด้วย โดยบริษัทยังคงมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10-15% จากปีก่อนที่เติบโต 1,466.03 ล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ต.ค. 65)
Tags: Healthcare, Selic, ซีลิค คอร์พ, ยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์, หุ้นไทย, เทวกรรมโอสถ, เฮลท์แคร์