บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองกลุ่มธนาคาร Overwieght หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.00% แต่เป็นลบเล็กน้อยต่อกลุ่ม Finance
โดยมีมุมมองเป็นกลางต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งเป็นไปตามคาด และเราคาดว่าจะปรับเพิ่มอีก 1 ครั้งในวันที่ 30 พ.ย. อีก 25bps และอีก 3 ครั้ง (ครั้งละ 25bps) ภายในครึ่งปีแรกปี 66 ไปอยู่ที่ 2.00% ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่เป็นหลัก โดยคาดเป็น upside ต่อกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่อยู่ที่ 5-8% จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 2.00% ในปี 2566 ภายใต้ base case ที่มีการใส่ credit cost ที่ 0.10% เพราะมีโอกาสที่จะเกิด NPL เพิ่มมากขึ้นได้ในอนาคต
โดยธนาคารขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากมาก-น้อยคือ BBL, KTB, KBANK และ SCB โดย BBL (ซื้อ/เป้า 167.00 บาท) จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นมากที่สุด ขณะที่กลุ่มธนาคารเรายังคงให้น้ำหนัก “มากกว่าตลาด” เลือก KTB (ซื้อ/เป้า 18.00 บาท), KBANK (ซื้อ/เป้า 190.00 บาท) เป็น Top pick
สำหรับกลุ่ม Finance เรามองเป็นลบเล็กน้อย เราประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.00% ในกลางปี 66E จะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ตามต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น สำหรับการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น หรือออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนชุดเดิมที่ครบกำหนด ซึ่งเราได้ใส่สมมติฐานปรับต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของหุ้น Finance ที่เราออกบทวิเคราะห์ประมาณ +0.125%-0.250% ต่อปีแล้ว อิงจากมูลหนี้หุ้นกู้ และสัดส่วนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วง 1 ปี
โดยเราประเมินว่าหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากมากไปน้อยได้แก่ AEONTS, TIDLOR, MTC, THANI, SAWAD และ KTC ขณะที่เราประเมินว่า SINGER จะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากมีฐานทุนที่สูง ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกู้เงินเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เราคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มการเงิน “เท่ากับตลาด” Top pick เป็น SINGER (ซื้อ/เป้า 52.00 บาท)
นอกจากนี้ ยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเราคาดกำไรสุทธิรวมไตรมาส 3/65 กลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +24% YoY และ +1% QoQ จากการตั้งสำรองฯที่ลดลงและมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นตามสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ดี โดยธนาคารที่จะเติบโตทั้งได้ YoY/QoQ คือ BBL, KBANK, SCB จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก ส่วน NPL รวม 3Q22E อยู่ที่ 3.13% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/65 ที่ 3.04% จากการเปิดประเทศมากขึ้น และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่ออายุถึงเดือน ธ.ค. 2566
คงประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารปี 2565 จะเติบโตที่ +13% YoY เพราะแนวโน้มสำรองฯที่ลดลงจากการที่ตั้งสำรองเผื่อฯมาเยอะแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เราคาดว่าจะมีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในช่วงไตรมาส 4/65 ซึ่งจะช่วยให้สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมกลับมาฟื้นตัวได้ดี ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร เคลื่อนไหว in line กับ SET ใน 3 เดือน
ยังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” จากการปรับดอกเบี้ยขึ้น โดย BBL เป็นธนาคารแรกที่ปรับอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากขึ้น และคาดว่าธนาคารอื่นๆจะทยอยปรับขึ้นเช่นกัน ขณะที่ valuation ยังถูก เทรดที่ระดับเพียง 0.70x PBV (-1.0SD below 10-yr average PBV) โดยเราชอบ KBANK (ซื้อ/เป้า 190.00 บาท) เพราะสินเชื่อภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวดี และเป็นธนาคารที่เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้าน digital ต่อเนื่อง และ KTB (ซื้อ/เป้า 18.00 บาท) เพราะ valuation ปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.65x (กลุ่มธนาคารซื้อขายที่ 0.70x) และมี upside จากการใช้ data ใน application เป๋าตัง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 65)
Tags: BBL, KBANK, KTB, SCB, กนง., ดอกเบี้ย, บล.ดาโอ, หุ้นแบงก์, หุ้นไทย