นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 270,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 4.80 บาท ระยะเวลาจองซื้อวันที่ 21-23 ก.ย.65 และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ใช้ชื่อย่อ “TEGH” ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร โดยมี บล.กสิกรไทย และ บล. ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ในครั้งนี้
ขณะที่ TEGH แต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย อีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บล.เอเซีย พลัส และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)
บริษัทระบุในแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ว่า การกำหนดราคาหุ้น IPO ในครั้งนี้บริษัทร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายได้กำหนดราคาหุ้นสามัญที่จะเสนอขายในครั้งนี้ที่ราคา 4.80 บาทต่อหุ้น โดยได้พิจารณาจากราคาและจำนวนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันเสนอความต้องการซื้อเข้ามา โดยเป็นราคาที่จะทำให้บริษัทได้รับเงินตามจำนวนที่ต้องการ และยังมีความต้องการซื้อหุ้นเหลืออยู่มากพอในระดับที่คาดว่าจะทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพในตลาดรอง
หากพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 64 ถึงไตรมาส 2 ของปี 65) ซึ่งเท่ากับ 671.8 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 1,080,000,000 หุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 0.6 บาทต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E) ประมาณ 7.7 เท่า
บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนรวม 1,254.56 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ และการลงทุนโครงการในอนาคตของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงกระบวนการพัฒนา ปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ วงเงินราว 260-475 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า การกำหนดราคา IPO ที่ 4.80 บาทต่อหุ้น เป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน TEGH ซึ่งถือเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมาก เนื่องจากกลุ่มบริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และการผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออกที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทำให้สามารถควบคุมการผลิตและคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง กลุ่มลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ ยังเป็นผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกและประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Michelin Bridgestone Goodyear Deestone Sumitomo และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆอีกมากมาย
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทมีกระบวนการจัดการอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแบบบูรณาการ ทำให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นโมเดลสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม และสะท้อนสู่การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยกลุ่มบริษัทฯ มีการจัดการของเสียแบบ Zero Management ได้แก่ การลดของเสียให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) การไม่ปล่อยน้ำเสียออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ (Zero Discharge) การส่งเสริมให้เกษตรกร ลดการใช้ไฟเผาในการเตรียมพื้นที่เกษตรและนำของเสียจากกระบวนการผลิตภายในกลุ่มบริษัทฯ มาผลิตเป็นพลังงานชีวภาพ ทำให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายจากกระบวนการจัดการของเสียได้ (Waste to Value)
ภายหลังจากที่บริษัทฯ เข้าระดมทุนแล้ว จะทำให้มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง และมีแหล่งเงินทุนซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจที่จะทำให้บริษัทฯสามารถขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ในระยะยาว ดังนั้นจึงมั่นใจว่า TEGH จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งนักลงทุน สถาบัน และประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างดี
นายเฉลิม โกกนุทาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TEGH กล่าวว่า กลุ่มบริษัทเป็นผู้นำการผลิตวัตถุดิบยางธรรมชาติและน้ำมันปาล์มดิบที่ยั่งยืน “Sustainable Material” โดยกลุ่มบริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) มีการผลิตพลังงานทดแทนเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต และการนำกากของเสียมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดมูลค่าเพิ่มและเกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้สินค้าของกลุ่มบริษัทฯ จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Product) ทั้งนี้การเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนใน SET จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ ได้อีกมาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายกำลังการผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป
นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 64 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการ เท่ากับ 11,087.76 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 562.64 ล้านบาท โดยในปี 64 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงถึง 524.99 ล้านบาท จากปี 2563 เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ของธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติและน้ำมันปาล์มดิบที่เพิ่มสูงขึ้น สาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าเพิ่มขึ้นจากสาเหตุเดียวกัน
สำหรับผลประกอบงวด 6 เดือนแรกปี 65 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 7,536.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 64 ที่ 5,214.59 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 45% ขณะที่กำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกปี 65 อยู่ที่ 367.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 64 ที่ 258.15 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 42%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ก.ย. 65)
Tags: IPO, TEGH, หุ้นไทย, ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์