นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister: AEM) ครั้งที่ 54 ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน ที่ผ่านมา ณ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายของปีนี้ เพื่อสรุปผลสำเร็จรายงานต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ในเดือนพฤศจิกายน 2565
นายสรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติในประเด็นสำคัญเพื่อร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาค และการเตรียมการอาเซียนด้านเศรษฐกิจดิจิทัล อาทิ แผนการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน ซึ่งมีการขยายระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว ให้ครอบคลุมกิจกรรม ณ ท่าเรือระหว่างประเทศ และจุดผ่านแดน การเร่งรัดการให้สัตยาบันความตกลงตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ของสมาชิกที่เหลือภายในปีนี้ เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากความตกลงได้อย่างเต็มที่ การเร่งเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนให้ทันสมัยและสอดคล้องกับรูปแบบการค้ายุคใหม่ ได้แก่ ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ATIGA), ความตกลง FTA อาเซียน-อินเดีย, อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และอาเซียน-จีน และการเจรจาจัดทำความตกลง FTA กับคู่เจรจาใหม่ อาทิ อาเซียน-แคนาดา (ACAFTA) ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย ทั้งการขยายตลาดและอำนวยความสะดวกทางการค้าเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เร่งดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ความเป็นกลางทางคาร์บอนของอาเซียน และเร่งสรุปองค์ประกอบสำคัญ (Core Elements) ของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ภายหลังปี 2568 พร้อมกับรายงานผลการประเมินความพร้อมการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเต ในส่วนของเสาเศรษฐกิจ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียนในเดือนพฤศจิกายนนี้
นายสรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังได้พบหารือกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เพื่อพิจารณาแนวทางความร่วมมือระยะยาว โดยจะร่วมมือกันด้านการใช้ประโยชน์ของระบบทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์และนวัตกรรมให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) และสตาร์ทอัพ
สำหรับการพบหารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) ได้แลกเปลี่ยนความเห็นประเด็นที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญและดำเนินการในปีนี้ อาทิ Digital Trade Connect โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงการค้าดิจิทัลระดับภูมิภาค เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งจะสนับสนุนเป้าหมายของอาเซียนในการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไทยเห็นพ้องถึงความสำคัญและร่วมเน้นย้ำเจตนารมณ์ที่จะทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งจะช่วยให้อาเซียนรักษาโอกาสและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในตลาดโลกได้ในอนาคต
ทั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ยังได้ร่วมรับรองและให้ความเห็นชอบเอกสารสำคัญ อาทิ แผนดำเนินงานตามกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี ค.ศ. 2023-2030 ซึ่งเป็นการกำหนดขอบเขตงานและกิจกรรมความร่วมมือภายใต้กรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนฯ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน เอกสารขอบเขตการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย ซึ่งเป็นการยกระดับความตกลงที่มีอยู่ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับรูปแบบการค้าในปัจจุบัน
โดยมุ่งหวังให้มีการเปิดตลาดเพิ่มเติม ปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้า และเอื้อต่อการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น และเอกสารเกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ อาทิ กลุ่มประเทศบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร ซึ่งจะเป็นกลไกที่สำคัญในการช่วยกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมประกาศการเจรจากรอบความตกลงว่าด้วยการแข่งขันของอาเซียน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมและการแข่งขันในตลาดอาเซียน และเห็นชอบรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกันในการยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ที่เสนอให้มีการเปิดเสรีมากขึ้น และสร้างความร่วมมือใหม่ๆ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน การแข่งขันทางการค้า การคุ้มครองผู้บริโภค และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย
อย่างไรก็ดี ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.65) การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 75,628 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 19% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 43,699 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 18.7% และไทยนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 31,928 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 20% ตลาดที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ก.ย. 65)
Tags: AEM, APEC, กระทรวงพาณิชย์, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, ประชุมอาเซียน, สรรเสริญ สมะลาภา, เศรษฐกิจดิจิทัล