นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวภายหลังเปิดประชุมคณะทำงานด้านการขนส่งของเอเปค ครั้งที่ 52 (the 52nd APEC Transportation Working Group: TPTWG52) ว่า กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง ระหว่างวันที่ 14-16 ก.ย.65 เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการประชุมในระดับผู้กำหนดนโยบายของแต่ละประเทศต่อไป ภายใต้เป้าหมายหลัก คือ การขนส่งที่ไร้รอยต่อ อัจฉริยะ และยั่งยืน (Seamless, Smart and Sustainable Transportation) เพื่ออำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน และฟื้นฟูความเชื่อมโยงด้านการเดินทาง และการท่องเที่ยวในเขตเศรษฐกิจเอเปค และระดับโลก
ในการประชุมครั้งนี้มีสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจเอเปค เข้าร่วมประชุมทั้งรูปแบบ Online และ Onsite โดยเดินทางมาร่วมประชุมจำนวน 14 เขตเศรษฐกิจ ที่เหลือประชุมรูปแบบ Online ซึ่งถือเป็นเป็นเวทีสำคัญในการหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 สาขา คือ 1.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางอากาศ 2.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบและระบบขนส่งอัจฉริยะ 3.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางบก และ 4.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางน้ำ เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งในมิติบก น้ำ ราง และอากาศ เสริมสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานและโอกาสในการเติบโตและฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในยุคหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเน้นการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิด BCG Economy และการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาค
โดยที่ประชุมได้มีการหารือ และรับรองแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของเอเปค ปี 2565-2568 (TPTWG Strategic Action Plan 2022-2025) ซึ่งจะเป็นกรอบการทำงานและแนวทางในการพัฒนาแผนงานประจำปีและกิจกรรมของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญใน 4 สาขา รวมถึงโครงการต่างๆ ในกรอบเอเปคด้านการขนส่ง เพื่อบรรลุตามวิสัยทัศน์ปุตราจายาภายใต้กรอบเอเปค ปี ค.ศ. 2040 ที่มุ่งสร้างเขตเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกที่เปิดกว้าง มีพลวัต ยืดหยุ่น และสันติสุข เพื่อความรุ่งเรืองของประชาชนและคนรุ่นหลัง
รมว.คมนาคม กล่าวว่า ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งหลายโครงการได้แปรไปสู่การปฎิบัติและเห็นเป็นรูปธรรมบ้างแล้ว ในเฟสที่ 1 คือ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งมีโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 โครงการเมืองการบินอู่ตะเภา โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้นำเสนอแผนโครงการสะพานเศรษฐกิจ หรือแลนด์บริดจ์ (ชุมพร-ระนอง) ซึ่งจะเป็นประตูเชื่อมโลกกับอีอีซี โดยขณะนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) เพื่อให้สมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจเอเปค ร่วมแสดงความเห็นด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุน สายการเดินเรือรายใหญ่ ซึ่งการลงทุนจะต้องเป็นความร่วมมือกัน ไทยไม่สามารถลงทุนเพียงลำพัง ต้องให้สายเรือฯ ที่เป็นผู้ใช้บริการร่วมลงทุนภายใต้หลักการ 2 ท่าเรือระนอง, ชุมพร ถือเป็นท่าเรือเดียวกันบริหารจัดการเป็นหนึ่งเดียว รวมไปถึงระบบเชื่อมต่อระหว่างท่าเรือด้วย
โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2565 จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบผลการศึกษา หลังจากนั้นจะดำเนินการโรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุนทั่วโลก และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาผลักดันต่อไป ตามแผนจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการในปี 2573
สำหรับแนวทางการพัฒนา มีต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ คือ ท่าเรือทูอัส (Tuas Port) ประเทศสิงคโปร์ ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี เป็นท่าเรือน้ำลึก รองรับ 18 ล้านทีอียู และวางแผนพัฒนาขยายขีดการรองรับ 65 ล้านทีอียูภายใน 20 ปี โดยคาดว่าจะลงทุนทั้งสิ้น 2.7 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (ราว 7 หมื่นล้านบาท) แต่เป็นการลงทุนท่าเรืออย่างเดียว โดยเป็นท่าเรืออัตโนมัติ (Port Automation) ในการบริหารจัดการเป็นหลัก เนื่องจากค่าแรงแพงกว่าไทย และประเมินว่าจะคุ้มทุนใน 7 ปี โดยผู้ลงทุนเป็นบริษัทโฮลดิ้ง โดยรัฐบาลสิงคโปร์ถือหุ้น 40% เอกชน 60% (สถาบันการบิน ผู้ประกอบการสายเรือ) ขณะที่โครงการแลนด์บริดจ์ของไทยมีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ สามารถทำให้เกิดการเชื่อมต่อโลจิสติกส์ทางน้ำในอนาคตที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ราคาเป็นธรรม นอกจากนี้ จะให้ความสำคัญการพัฒนากับปัญหา Climate Change อย่างยั่งยืนด้วย
“สิ่งที่ได้เน้นย้ำให้ สนข. และบริษัทที่ปรึกษาศึกษา คือ รูปแบบการพัฒนาและสิ่งที่ประชาชน ประเทศไทยจะได้รับจากการพัฒนา โดยเฉพาะการพัฒนาเชิงพาณิชย์พื้นที่หลังท่า ที่จะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพิ่มมูลค่า และสร้างจีดีพีของประเทศ ซึ่งสิงค์โปร์เป็นตัวอย่างแล้วว่าทำได้ ประเทศขนาดเล็กพื้นที่ 6 แสน ตร.กม. สามารถเพิ่มพื้นที่เป็น 7 แสน ตร.กม.ได้จากการถมทะเล และสร้างมูลค่าจากพื้นที่กลับคืนให้ประชาชนได้ ดังนั้นประเทศไทยน่าจะทำได้ โดยข้อมูลจากการศึกษาต้องแสดงให้เห็นความเป็นไปได้และข้อเท็จจริง ที่สำคัญได้เน้นย้ำในการสร้างการรับรู้ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นโครงการที่จะเกิดประโยชน์กับทั้งประเทศไทย อาเซียน และต่อเศรษฐกิจของโลก” นายศักดิ์สยาม กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้จัดแสดงนิทรรศการเพื่อนำเสนอโครงการสำคัญที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงในเขตเศรษฐกิจเอเปคด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เชื่อมต่อการเดินทางทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศได้อย่างสะดวก ไทยจึงมีความพร้อมและศักยภาพที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างเขตเศรษฐกิจในการเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งของภูมิภาค ผ่านการเชื่อมโยงโครงข่ายทางหลวงสายเอเชียที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่เพื่อนบ้านบนพื้นทวีปเอเชียได้อย่างสะดวก ผ่านการเชื่อมต่อโครงข่ายทางรถไฟในภูมิภาคผ่านเส้นทางรถไฟ ไทย-ลาว-จีน และสามารถเชื่อมต่อไปถึงรัสเซียและยุโรป
การเชื่อมต่อทางอากาศ ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท่าอากาศยานนานาชาติของไทย เพื่อรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินจากทั่วโลก ส่งเสริมให้การเดินทางทางอากาศระหว่างไทยกับสมาชิกเอเปค มีประสิทธิภาพและความหลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเชื่อมต่อทางน้ำ ซึ่งไทยมีท่าเรือแหลมฉบัง ที่เป็นท่าเรืออันเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการขนส่งสินค้าระดับภูมิภาค และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการในการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
ในการนี้ รมว.คมนาคม ได้เปิดตัววิดีทัศน์โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (Southern Landbridge) ซึ่งจะเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่ของโลก เป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งและเศรษฐกิจใหม่ทางทะเลที่เป็น Transshipment การขนส่งสินค้าของภูมิภาค โดยสามารถเชื่อมการขนส่งกับเส้นทางมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟ คู่ขนานแนวเส้นทางร่วมกันตามแผนบูรณาการมอเตอร์เวย์เชื่อมต่อแนวเส้นทางรถไฟทางคู่ (MR-MAP) สร้างความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจใน APEC อย่างไร้รอยต่อ เพื่อการเปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล (OPEN CONNECT BALANCE)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.ย. 65)
Tags: APEC, TPTWG52, กระทรวงคมนาคม, ศักดิ์สยาม ชิดชอบ, เศรษฐกิจเอเปค, เอเปค