รัฐบาลเร่งผลักดันภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทย กระตุ้นจ้างงานเพิ่มรับไฮซีซั่น

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากข้อมูลสำนักตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมานี้ มียอดสะสมอยู่ที่ 5,018,172 คนแล้ว โดยจากการประเมินแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุด รัฐบาลยังคงเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยตลอดปี 65 ไว้ที่ 10 ล้านคน จากเดิมที่คาดไว้ 6 ล้านคนในปีนี้ นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนการจ้างงานภายในสถานประกอบการโรงแรม ที่พัก เพิ่มขึ้นกว่า 75% โดยส่วนหนึ่งเป็นการจ้างงานพนักงานใหม่เพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วง High season ปลายปี 65 นี้

“รัฐบาลเร่งผลักดันภาคธุรกิจการท่องเที่ยวให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการวางมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนแนวทางการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนส่งเสริมภาคธุรกิจ ให้พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเชื่อมั่นว่าการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการเพิ่มศักยภาพแก่ภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ จะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว จนเกิดการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อันเป็นการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน” นายอนุชา กล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันภาคธุรกิจการท่องเที่ยว สอดรับกับรายงานจากสมาคมโรงแรมไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรมเดือนสิงหาคม 65 (Hotel business operator Sentiment Index) มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 48% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 65 พร้อมคาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักเดือนกันยายน 2565 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 40%

ดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวมาจากการรวบรวมข้อมูลของผู้ประกอบการด้านโรงแรม ที่พัก จำนวน 106 แห่ง (รวมทั้งประเภทโรงแรมที่เป็น AQ, Hospitel และ Hotel Isolation) โดยนอกจากอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังพบแนวโน้มของจำนวนคืนที่เข้าพักเฉลี่ยต่อโรงแรมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามประเภทนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7 คืนต่อโรงแรม และนักท่องเทียวต่างชาติเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 3.3 คืนต่อโรงแรม ซึ่งส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นกลุ่มเอเชียและตะวันออกกลางจำนวนกว่า 62% รองลงมาคือ ยุโรปตะวันตก ทวีปอเมริกา และ รัสเซีย-ยุโรปตะวันออก ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ย. 65)

Tags: , , ,
Back to Top