สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดทำผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retail Sentiment Index) ประจำเดือน ส.ค.65 ทรงตัวเท่ากับดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือน ก.ค.65 แม้จะมีสัญญาณบวก เพราะผู้บริโภคออกมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ แนวโน้มดอกเบี้ยที่จะดีดตัวเพิ่มขึ้น และค่าแรงขั้นต่ำที่ประกาศปรับเพิ่มขึ้น 5-8% ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้าดีขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจที่ยังคงต้องใช้เวลา และผู้ประกอบการยังมีความกังวลอย่างต่อเนื่องต่อต้นทุนและราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บรรยากาศการจับจ่ายไม่คึกคักเท่าที่ควร
“แม้ผู้คนจะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ แต่จากผลการสำรวจรอบนี้ของเราพบว่ายอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Spending per Bill) ลดลง ขณะที่ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency of Shopping) เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย รวมทั้งยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG-MoM) เดือนสิงหาคมปรับลดลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย พร้อมทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแอทำให้การจับจ่ายโดยรวมไม่เติบโต เกิดจากความกังวลต่อภาวะหนี้ครัวเรือน และรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ผู้บริโภคจึงมุ่งเน้นซื้อสินค้าเฉพาะที่จำเป็น ลดการบริโภคฟุ่มเฟือย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก ภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายอย่างเร่งด่วนเพื่อการส่งเสริมการบริโภคในประเทศ โดยนำโครงการช้อปดีมีคืนกลับมา พร้อมเพิ่มวงเงินเป็น 100,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูง และดำเนินโครงการคนละครึ่ง รวมทั้งโครงการไทยเที่ยวไทยไว้อย่างต่อเนื่องยาวถึงสิ้นปี” นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมฯ เผย
สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นราคาสินค้า และความกังวลต่อการฟื้นตัวธุรกิจของผู้ประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการ 26% ระบุว่าจะไม่ปรับราคาสินค้าแล้ว แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 40% ระบุว่าจะปรับราคาเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% และผู้ประกอบการอีก 17% ระบุว่าจะปรับราคาเพิ่มขึ้น 5-10% ผู้ประกอบการ 5% ระบุจะปรับราคาเพิ่มขึ้น 11-15% และผู้ประกอบการอีก 12% ระบุว่าจะปรับราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 15%
โดยปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อการฟื้นตัวธุรกิจนั้น ผู้ประกอบการ 70% ระบุว่าเงินเฟ้อที่สูงผลักดันราคาสินค้าสูงขึ้น อีก 9% ระบุว่าแนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้น, 7% ระบุว่าขาดแคลนแรงงาน, 7% ระบุว่านักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยกว่าที่คาด และ 7% ระบุว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
“ความกังวลหลักของผู้ประกอบการ คือ การปรับขึ้นของค่าจ้างแรงงาน และปัญหาการขาดแคลนแรงงานตลอดช่วงปีที่ผ่านมา เพราะทำให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้นราว 1-3% โดยภาคค้าปลีกค้าส่งและบริการมีการจ้างงานทั้งระบบกว่า 13 ล้านคน บวกกับการที่แรงงานในระบบหายไปจากการจ้างงานถึง 30% เมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนโควิด ทำให้ผู้ประกอบการต้องจ่ายค่าจ้างแรงงานในอัตราที่สูงเพื่อจูงใจและทดแทนแรงงานในระบบ ส่งผลให้กำไรของผู้ประกอบการลดลงเฉลี่ย 4-5 %” นายฉัตรชัย กล่าว
รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ยังคงน่ากังวลถึงสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นผลกระทบต่อผู้บริโภค เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่มา ขณะที่ค่าใช้จ่ายก็ทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้น ทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าแก๊ส และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก อีกด้านหนึ่งเป็นผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับต้นทุนจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นและแรงงานที่ขาดแคลน ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ภาครัฐต้องลำดับความสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจทั้งสองด้านไปพร้อมๆ กัน ด้านผู้บริโภคก็มุ่งเน้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอัดฉีดเม็ดเงินผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ขณะเดียวกันผู้ประกอบการภาครัฐก็ต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบของต้นทุนที่เพิ่มจากการจ้างงาน โดยทดลองประกาศใช้แรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมง เริ่มจากธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารเป็นการเฉพาะก่อน เพื่อให้เกิดการจ้างงานแบบยืดหยุ่น เติมเต็มแรงงานที่ขาดหายไปในระบบ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ย. 65)
Tags: ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์, ดัขนีความเชื่อมันผู้บริโภค, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธปท.