นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า การมีตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต และใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ประเทศและภาคธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) และเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาด
ขณะเดียวกัน เป็นแต้มต่อในการดึงดูดลูกค้าและนักลงทุนที่ให้ความสำคัญด้าน ESG ตลอดจนเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้พัฒนาโครงการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขายคาร์บอนเครดิต และผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากการขาย REC และยังเป็นโอกาสทางธุรกิจ สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางและพัฒนานวัตกรรมในการซื้อขาย
“หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องส่งเสริมเครื่องมือเหล่านี้ คือ ความตื่นตัวของบริษัทชั้นนำของโลกที่ตั้งเป้าหมาย Net zero emission รวมถึงเป้าหมายการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% (RE100) ดังจะเห็นได้จากมีบริษัทที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม RE100 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปี 2562 ที่มีเพียง 261 ราย ขยับสูงเป็น 378 รายในปัจจุบัน หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 13% โดยพบว่าเป็นบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจในไทยไม่ต่ำกว่า 50 บริษัท ซึ่งจะทำให้มีความต้องการ REC ในไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” นายพชรพจน์ กล่าว
ด้านนายณัฐพร ศรีทอง นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตของโลกจะเติบโตสูงถึง 15 เท่าตัวในช่วง 10 ปีข้างหน้า และ 100 เท่าตัวเมื่อมองไปถึงปี 2593
ทั้งนี้ ตลาดมี 2 รูปแบบ คือ 1. ภาคบังคับ หรือรู้จักในชื่อ Emission Trading Scheme (ETS) และ 2. ภาคสมัครใจ โดยผู้ประกอบการที่ต้องการลดก๊าซเรือนกระจก จะซื้อคาร์บอนเครดิตทดแทนการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเอง ส่วนผู้ขายจะเป็นองค์กรอื่นที่ดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามมาตรฐาน เช่น Verified Carbon Standard (VCS/VERRA) และ Gold Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก หรือมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction: T-VER)
นายณัฐพร กล่าวว่า ราคาคาร์บอนเครดิตในแต่ละตลาด หรือแต่ละมาตรฐานจะมีความแตกต่างกัน ปัจจุบันราคาคาร์บอนเครดิตโลกอยู่ที่ประมาณ 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตันคาร์บอนฯ ขณะที่ราคาคาร์บอนเครดิตไทยเฉลี่ยล่าสุดปี 2565 อยู่ที่ 107 บาท หรือประมาณ 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตันคาร์บอนฯ
ด้านนายชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า การซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) เป็นเครื่องมือหนึ่งที่เติบโตควบคู่กับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยผู้ขายคือผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวลที่ได้การรับรองมาตรฐาน ส่วนผู้ซื้อ สามารถอ้างสิทธิ์ในการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการกลุ่ม RE100 บรรลุเป้าหมายการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ ในรอบปีที่ผ่านมา พบว่าการซื้อขาย REC ในระดับโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่น ใบรับรองภายใต้มาตรฐานของ The International REC Standard (I-REC) ที่นิยมใช้กันมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย มีการอ้างสิทธิ์เพิ่มขึ้นถึง 103% สำหรับในไทยเติบโตสูงถึง 135% และคาดว่าจะขยายตัวได้อีกมากในอนาคต
นายชัยสิทธิ์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อม และศึกษาทำความเข้าใจการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและ REC ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ส่งออกสินค้าไปยัง EU และสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะใช้มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ตลอดจนผู้ประกอบการที่ต้องการนำผลการดำเนินงานเหล่านี้ไปแสดงในรายงานความยั่งยืน เช่น One Report และประกอบการรับประเมินดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI)
ขณะที่ภาครัฐ ควรสนับสนุนโครงการที่นำไปสู่คาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพสูง เป็นมาตรฐานสากล เนื่องจากโครงการแต่ละประเภทจะได้รับการยอมรับต่างกัน หรือคาร์บอนเครดิตที่ได้ก็จะมีมูลค่าไม่เท่ากัน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มในการซื้อขาย เช่น การนำเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างครบถ้วน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.ย. 65)
Tags: KTB, คาร์บอนเครดิต, ธนาคารกรุงไทย, พชรพจน์ นันทรามาศ